ทำไมจึงต้องกำหนดเอาการดื่มสุราเข้าไว้ในศีล 5 ด้วย

โดยพื้นฐานของจิตใจที่แท้จริงแล้ว ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ชอบช่วยเหลือคนมาตั้งแต่เด็ก อาทิเช่น ช่วยติวหนังสือให้เพื่อนๆ               ที่เรียนไม่ค่อยเก่ง ช่วยเหลือครูในการปรามเพื่อนๆ ที่เกเร อีกทั้งช่วยเหลือกิจกรรมส่วนรวมของทางโรงเรียนตลอดมาไม่ว่าจะเรียนอยู่ในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา หรือแม้แต่ในโรงเรียนนายร้อย จปร.และแม้เมื่อออกมารับราชการก็ให้การช่วยเหลือต่อผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อนข้าราชการและญาติ สนิทมิตรสหาย ในทุกรูปแบบไม่ว่าจะเรื่องการเงินการทองการให้อภัยแก่ผู้คน หรือแม้แต่การอบรมสั่งสอนชี้แนะให้เดินทางที่ถูกที่ควรดังนั้นว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว ข้าพเจ้ามีความเมตตากรุณา ต่อคนและสัตว์มาแต่ไหนแต่ไรแล้วพอสมควรทีเดียว ด้วยเหตุนี้เมื่อข้าพเจ้านำคำสอนของหลวงพ่อมาพิจารณาดู จึงไม่มีความหนักใจในการสร้างทานบารมีเลย ไม่ว่าจะเป็นวัตถุทาน สังฆทาน อภัยทาน หรือแม้ธรรมทาน และเมื่อลองตรวจศีล 5 ดูในข้อแรกปาณาห้ามฆ่าสัตว์นั้นสบายมาก เพราะข้าพเจ้าเป็นคนที่รักสัตว์ สงสารสัตว์อยู่แล้วฆ่าไม่ได้แน่ๆ

ในข้อที่สอง อทินนาห้ามลักขโมยทรัพย์สิน ของผู้อื่นก็ยิ่งง่ายใหญ่เพราะข้าพเจ้าเกลียดนักเกลียดหนาในเรื่องนี้ และเคยประณามผู้ที่ลักขโมยเสมอมาว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวแก่ได้ เบียดเบียนผู้อื่นที่เขาเอาแรงกายแรงใจเข้าแลกกว่าจะหาเงินหาทองมาได้ แล้วจู่ๆ ไอ้พวกนักลักมาฉวยโอกาสขโมยของเขาไปง่ายๆ โดยไม่ต้องลงทุนลงแรง

ในข้อที่สามกาเม ผิดลูกผิดเมียคนอื่น ก็ผ่านไปได้เลยเพราะเรื่องเช่นนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดของข้าพเจ้า ด้วยเห็นเป็นเรื่องที่น่าละอายมาก

และในข้อที่สี่มุสา ห้ามพูดโกหกในข้นอี้ตอนแรกๆ ข้าพเจ้าก็ยังหวั่นๆ ใจอยู่บ้างไม่ค่อยจะแน่ใจนักว่าจะรักษาข้อนี้ได้หรือไม่เพราะในการอบรมผู้ใต้บังคับบัญชาบางครั้งก็ต้องล่อหลอกกันบ้างเพื่อให้เขากลัวในการยักยอกของหลวง หรือขู่กันบ้าง เพื่อมิให้เขาประพฤติตนออกนอกลู่นอกทางแต่เมื่อข้าพเจ้าทุ่มความสนใจไปในการศึกษาค้นคว้าหาหนังสือธรรมะอ่านมากมาย ก็เข้าใจว่าการพูดไม่ตรงต่อความจริงด้วยเจตนาให้ผู้ฟังเกิดกำลังใจที่จะประพฤติดีประพฤติชอบก็ดี เปลี่ยนการกระทำจากร้ายเป็นดีก็ดี มิได้เข้าข่ายผิดศีลข้อมุสา เพราะเป็นการพูดที่มิได้หลอกลวงให้เขาเสียซึ่งทรัพย์สินเงินทอง เสียเกียรติยศชื่อเสียงหรือเสียผู้เสียคน ดังนั้นศีลข้อมุสาจึงสอบผ่านไปได้ ไม่น่าหนักใจสำหรับข้าพเจ้าอีกต่อไป

แต่ศีลข้อที่ห้าคือ สุรา นี่ซิมันเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของข้าพเจ้า จริงๆ โดยเฉพาะสำหรับชีวิตในต่างจังหวัดซึ่งขาดแคลนทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นบาร์ คลับ โรงหนัง โรงละครทุกเย็นบรรดาเพื่อนๆ ก็ชักชวนกันมาตั้งวงกินเหล้าอยู่ที่บ้านข้าพเจ้าเป็นที่สนุกสนาน อย่าว่าแต่จะคิดเลิกเลย แม้เพียงข้าพเจ้าเจ็บไข้ได้ป่วยเพียงแค่วันสองวันบรรดา คอเหล้าก็โวยวายกันแล้ว หนำซ้ำเพื่อนคอเหล้าที่เป็นหมอแทนที่จะสั่งยาให้ข้าพเจ้ากิน กลับเขียนใบสั่งยาว่า “แม่โขงหนึ่งแบน ผสมยาจีนร้อนๆ 1 กา วันละ 3 มื้อก่อนอาหาร”อีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงหนักใจนัก อีกทั้งคิดเข้าข้างตัวเองว่าการที่ข้าพเจ้าดื่มสุรา ความจริงก็หาได้ทำให้ใครเดือดร้อนไม่ เงินที่ซื้อหามาก็เป็นเงินของข้าพเจ้าเองมิได้เบียดเบียนใคร จะดื่มจะกินก็ดื่มกินในบ้านของข้าพเจ้ามิได้เกะกะระรานทำให้ใครต้องเดือนร้อนผิดกันกับศีลอีก 4 ข้อ ปาณา อทินนา กาเม และมุสา ซึ่งประพฤติปฏิบัติแล้วผู้อื่นเข้าเดือดร้อน ทำไมและอะไรกันนักหนาจึงต้องเอาสุราเข้าไปอยู่ในศีล 5 กับเขาด้วย เรื่องเลวรายอย่างอื่นอีกตั้งมากมายทำไมจึงไม่คัดเอามาบรรจุไว้แทนสุราเล่า?

เมื่ออัดดั้นตันใจและสงสัยเรื่องนี้อยู่ ข้าพเจ้าจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่ข้าพเจ้าเขียนไว้แล้วนี้ให้หลวงพ่อฟัง แล้วเน้นถามว่า

“หลวงพ่อครับ ผมก็ไม่เห็นว่าสุราจะเลวร้ายอะไรนักหนาทำไมจึงต้องเอามากำหนดเข้าไว้ในศีล 5 ด้วยเล่าครับ?”

“ไอ้สุรานี่แหละตัวร้ายที่สุดละคุณ เพราะมันเป็นตัวทำลายสตินะหากดื่มเข้าไปแล้วจะทำให้ขาดสติ และทำลายศีลทั้ง 4 ข้อแรกได้ทั้งหมดเลยนะ เป็นยังไง ดูคุณอาลัยอาวรณ์มากจริงนะ”หลวงพ่อตอบและเย้าข้าพเจ้า

“ก็เป็นบ้างครับ แต่ผมสงสัยว่าสุราจะไปทำลายศีลทั้ง 4 ข้อแรกได้อย่างไรครับหลวงพ่อ?”ข้าพเจ้ารับอ่อยๆ

“อ้าว ก็ดื่มแก้วแรก แก้วสอง แก้วสาม ก็ยังคุยกันได้เป็นเรื่องเป็นราวสนุกสนานครื้นเครงดี พอแก้วที่สี่ที่ห้าชักหน้าตึง หูตึง ลิ้นไก่สั้น เสียงเริ่มดัง ใครเก่งทางใดก็เริ่มอวดลวดลาย คุยอวดความเก่งกล้าสามารถของตัว บางรายก็ชักแสดงอิทธิฤทธิ์ด้วยการเคี้ยวแก้วเล่นก็มี บางรายก็ถอดถุงเท้าของตัวเองลงในแก้ว แล้วนั่งดื่ม บางรายก็ร้องไห้หากมีการพูดผิดหูกันขึ้นอาจถึงขั้นมาการท้าดวล ยิ่งโต๊ะข้างเคียงไม่ถูกกันมาก่อนพูดจาแขวะกันไปแขวะกันมาก็ขาดสติ ยั้งคิด ถึงขั้นฆ่ากันตาย ก็ผิดศีลปาณาขึ้นมาด้วย ขาดสติใช่ไหม? และถ้าคุณเมามายขาดสติ แล้วเกิดไปหยิบฉวยข้าวของมีค่าเช่นปากกาปลอกทอง หรือนาฬิกาของเพื่อนฝูงที่เมาด้วยกันติดไม่ติดมือกลับบ้าน หรือทำเงินที่เขาฝากมาหายไป แล้วพอได้สติก็หาใช้เขาไม่ได้ ก็เป็นการผิดศีลอทินนาเข้าอีก หรือถ้าคุณเกิดเมามายขาดสติกลับเข้าบ้านเกิดไปสะดุดสายมุ้งมุดเข้าไปหลับนอนกับใครที่มิใช่เมียของคุณก็ผิดศีลกาเมเข้าไปอีก หรือถ้าในขณะที่คุณเมามายขาดสติ เกิดไปรับปากสัญญาอะไรกับใครเขาไว้แต่พอวันรุ่งขึ้นเมื่อสร่างเมาคุณก็ลืมเสียสิ้นปล่อยให้เขาต้องเสียเวลาไปรอคอยก็ดี หรือผิดหวังที่คุณผิดสัญญาในเรื่องที่คุณรับปากไว้ก็ดี  ก็ผิดศีลมุสา อีกใช่ไหม? นี่แหละฉันจึงว่าสุรานั้นเป็นตัวทำให้ขาดสติและทำลายศีลทั้ง 4 ข้อแรกได้หรือคุณว่าไม่ใช่?”หลวงพ่ออธิบายแล้วย้อนถาม

“ผมก็เห็นด้วยตามที่หลวงพ่อพูดทุกอย่างแหละครับจึงหาหนทางป้องกันไว้ทุกแง่ทุกมุม เช่นจะดื่มก็ให้มาดื่มกันที่บ้านผมเป็นการหลีกเลี่ยงการมีเรื่องราวกับคนภายนอก มิหนำซ้ำผมจะเลือกชวนเฉพาะเพื่อนสนิทที่ชอบสนุกสนานจริงๆ เท่านั้น คือพอเมาก็ร้องเพลงกันไปตามเรื่องตามราว พวกที่เมาแล้วชอบหาเรื่อง ผมไม่ชวนมาร่วมลงหรอกครับ จึงตัดเรื่องปาณาไปได้ ในเรื่องอทินนาก็เช่นกัน จะหยิบอะไรติดไม้

ติดมือกันไปบ้างก็แค่ไม้ขีด ไฟแช็ค หรือปากกาที่หาค่าไม่ได้ ยิ่งกาเมแล้วที่บ้านผมมีผู้หญิงคนเดียวคือเมีย ส่วนมุ้งที่อยู่ข้างล่างเป็นมุ้งของพลทหารรับใช้จะมีที่เข้าข่ายเห็นจะเป็นมุสานั่นแหละครับเพราะตอนเมานัดกันจังเลยแต่พอหายเมาแล้วลืมหมด แต่ต่างฝ่ายต่างลืมนะครับ”ข้าพเจ้าตอบและพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง

“เอ๊ะ ไม่เลวนี่ แต่ป้องกันไม่ตลอดหรอกนะ อย่างน้อยดื่มเหล้ามีกับแกล้ม และกับแกล้มนั้นแม้คุณไม่ได้ทำเอง มิได้ฆ่าเองแต่ถ้าหากสั่งให้ผู้อื่นทำแล้วมีการฆ่าเกิดขึ้น คุณก็หนีปาณาไม่พ้นอยู่ดีนะหรือแม้การหยิบฉวยไม้ขีด ไฟแช็คก็ดี ปากกาที่ไม่มีราคาค่างวดตามที่คุณว่าก็ดี ย่อมทำให้เจ้าของเขาเสียผลประโยชน์เหมือนกัน เพราะเขาเคยได้ใช้ แล้วไม่ได้ใช้เพราะสูญหายไปอยู่ที่คุณ ก็ผิดศีลอทินนาด้วยนะฉันคิดว่าคำพูดของฉันคุณเข้าใจแล้วทั้งหมดแต่แสร้งดันทุรันไปอย่างนั้นเอง

ส่วนที่ว่าคุณดื่มอยู่ที่บ้านของคุณ แล้วไม่ได้ทำให้ใครเขาเดือดร้อนนั้นก็หาจริงไม่ เพราะการร้องรำทำเพลงของบรรดาขี้เมากลุ่มคุณหาได้ดังอยู่เฉพาะในตัวบ้านของคุณไม่ หากมันดังไป3 บ้าน 8 บ้านยิ่งดึกดื่นเที่ยงคืนผู้คนอื่นเขาจะได้นอนหลับพักผ่อนอย่างผาสุกก็กลับต้องมาทนฟังเสียงเพลงจากนักร้องขี้เมาที่หาความไพเราะเสนาะหูไม่ได้เลย แม้เขาจะไม่มายืนด่าอยู่หน้าบ้านคุณ แต่เขาก็สาปแช่งอยู่ในใจนะ ไม่เป็นสิริมงคลเลยนะ นอกจากนั้นเมียของคุณเล่าก็จะต้องอดหลับอดนอน คอบเก็บกวาดล้างถ้วยล้างชามหลังจากที่วงเหล้าเลิกราแล้ว ส่วนคุณซึ่งเป็นคนหางานให้เมียทำ กลับมุดเข้ามุ้งนอนหลับสลบไสลเพราะความเมา มันควรแก่การน่าละอายบ้างไหม? คุณลองไปนั่งคิดพิจารณาดูเอาเองก็แล้วกันนะ”

หลวงพ่อพูดและเมื่อเห็นข้าพเจ้านั่งคอตกตั้งใจฟังอยู่ ก็พูดต่อว่า”ความจริงแล้ว การดื่มสุรานั้นมันไม่เฉพาะแต่ทำให้ชาวบ้านและลูกเมียของคุณเดือดร้อนเท่านั้นนะ หากแต่ตัวของคุณเองนั่นแหละจะเดือดร้อนหนัก ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ ก็อาจเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นโรคกระเพาะ โรคไต โรคตับแข็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง แอลกอฮอลิสซึ่มหรืออัมพาตได้นะ และเมื่อตายไปหากเกิดเป็นมนุษย์ในชาติหน้าก็จะต้องรับกรรมอีก กล่าวคือ ถ้าดื่มน้อย เกิดมาก็จะเป็นคนที่มีอาการปวดศรีษะ วิงเวียน มึนงง อยู่ตลอดกาลรักษาไม่หายขาด ถ้าดื่มขนาดกลางเกิดมาก็จะเป็นโรคประสาท และถ้าดื่มขนาดนั้น เกิดมาก็จะเป็นวิกลจริตหรือคนบ้าทีเดียวนะจำไว้ เอ้อ ทางที่ดีเอาอย่างนี่ซิ ใน 2-3 วันนี้ฉันขอให้คุณร่วมวงสุรากับเพื่อนๆ เช่นเดิม แต่คุณอย่าดื่มนะหากเพื่อหากคุณก็บอกไปว่าไม่สบาย หมอห้าม หรือไม่ก็บอกว่ารับปากฉันไว้ ผิดสัจจะไม่ได้ คุณจะทำได้ไหม?”

“ผมรับปากครับหลวงพ่อแล้วหลังจากนั้นเล่าครับ?” ข้าพเจ้ารับปากแล้วถาม

“คุณก็มาเล่าให้ฉันฟัง ถึงเหตุการณ์ในวงสุราของคุณซิว่าคุณมีความรู้สึกอย่างไร? ส่วนหลังจากนั้นคุณจะไปดื่มกินกับเพื่อนของคุณอีกก็เป็นเรื่องของคุณ”หลวงพ่อพูด

ข้าพเจ้าเมื่อรับปากกับหลวงพ่อแล้ว ก็ปฏิบัติตามโดยขอตัวเพื่อน ๆ ไม่ยอมดื่มจริงๆ แต่อยู่พูดคุยร่วมวงด้วยเหมือนเดิมและคอบอำนวยความสะดวกให้ แม้จะถูกคะยั้นคะยอจากเพื่อนๆ สักเพียงไร ข้าพเจ้าก็ยืนกรานไม่ยอมดื่ม แก้วแล้วแก้วเล่าผ่านไปบรรดาเพื่อนชักเริ่มเมา บางคนก็เริ่มคุยอวดศักดาความเก่งกล้าของตนอีกคนก็คุยบ้างยกตัวเองเข้าข่มว่า ตนนั้นยิ่งแน่กว่าข้าพเจ้าซึ่งมิได้เมาด้วยชักเกิดความรำคาญ และมองเพื่อนๆ เหล่านั้นเหมือนคนแปลกหน้าในใจคิดสมเพชเวทนาว่า คนเหล่านี้เก่งเฉพาะตอนเมาแท้ๆ เวลาไม่เมาก็แหยๆ และไม่กล้าเผชิญหน้าต่ออะไรเลยทั้งสิ้น มีแต่ข้าพเจ้าเท่านั้นที่คอยรับหน้าคุ้มครองให้ พอเหล้าเข้าปากกลับกลายเป็นคนเก่งทั้งนั้น

เวลาผ่านๆไปเพื่อนๆ ก็เมามายมากขึ้นส่งเสียงร้องเพลงกันลั่นไปหมด ข้าพเจ้าชักหนักใจยิ่งนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อขึ้นมาด้วยก็ยิ่งเกิดเกรงใจชาวบ้านข้างเคียง เพราะบ้านที่อยู่เป็นเรือนแถวเสียด้วย อีกทั้งเวลาขณะนั้นก็ 5 ทุ่มกว่าแล้ว ข้าพเจ้าจึงเลี่ยงลงจากบ้านแล้วเดินผ่านห้องข้างเคียงไปจนสุดเรือนแถว และแม้ออกไปจนถึงถนนใหญ่ เสียงนักร้องขี้เมาจากบ้านข้าพเจ้าก็ยังดังลั่นเกินกว่า 3 บ้าน 8 บ้านเสียอีก เมื่อข้าพเจ้ากลับขึ้นบ้านเพื่อนขี้เมาบางคนก็หันมาพูดพร้อมกับเรอเอิ้กอ้ากกลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้งจนข้าพเจ้าแทบจะทนไม่ได้ ยิ่งมองดูกับแกล้มกลางวงมันมีสภาพเหมือนมิใช่คนกินจริงๆ ตามขอบจานตามพื้นมีชิ้นส่วนอาหาร และน้ำแกงหกเรี่ยราดคิดในใจว่า นี่เราร่วมกินเหล้ากับเขาเหล่านี้มาได้อย่างไรกันหนอ

ในคืนนั้นกว่าเพื่อนขี้เมาของข้าพเจ้าจะเลิกราได้ก็ประมาณเกือบตี 1 โดยบางราย ก็เดินโซเซร้องเพลงกลับ บางรายก็ขี่มอเตอร์ไซค์กลับแต่กว่าจะตั้งตัวได้ก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายตลบทีเดียว เมื่อส่งเพื่อนๆเสร็จ ข้าพเจ้าก็ขึ้นบ้าน เข้าช่วยภรรยาและทหารรับใช้เก็บถ้วยชามไปล้างทำความสะอาดพื้น โดยเฉพาะระเบียงหน้าบ้านสกปรกมากเพราะมีบางคนมาอาเจียนทิ้งไว้ จิตใจของข้าพเจ้าในตอนนั้นเกิดความรักและสงสารภรรยาเป็นที่สุดที่ทนลำบาก อดหลับอดนอนทำทุกอย่างเพื่อข้าพเจ้าตลอดมาโดยมิได้ปริปากบ่นสักคำ พอกันทีเพียงครั้งเดียวที่ข้าพเจ้ามิได้ดื่มเหล้า และทนนั่งอยู่ในกลุ่มเพื่อนร่วมแก๊งขี้เมาก็สุดแสนที่จะทนได้เสียแล้ว และในคืนนั้นเองข้าพเจ้าก็ตั้งปณิธานไว้โดยแน่ชัดว่า นับแต่บัดนี้ไปข้าพเจ้าจะเลิกดื่มสุราโดยเด็ดขาด และข้าพเจ้าก็ปฏิบัติได้มาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งยังความปลื้มปิติยินดีแก่ภรรยาและบุตรของข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับเหตุการณ์ในวงสุรานั้น ข้าพเจ้าก็ได้เล่าให้หลวงพ่อฟังโดยละเอียดรวมทั้งบอกความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นและความตั้งใจโดยเด็ดเดี่ยวที่จะเลิกดื่มด้วย ซึ่งหลวงพ่อก็ยินดีและให้กำลังใจว่า

“มันถึงเวลาของคุณแล้วนั่นเอง จึงทำให้คุณเกิดความรังเกียจที่จะดื่มสุราต่อไป และบัดนี้ทางเดินเข้าสู่แสงธรรมของคุณสว่างแล้วนะจงตั้งใจเดินไปเถิด”

ท่านผู้อ่านที่รัก เคยสงสัยในปัญหาข้อนี้เช่นข้าพเจ้าบ้างไหมครับ?ถ้าเคยสงสัยมา ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคำตอบของหลวงพ่อกระจ่างชัดแล้วนะครับ

Free Web Hosting