ถ้ากระทำแต่ความดีโดยไม่ต้องนั่งกรรมฐานจะมีสิทธิ์ตกนรกไหม?

                เมื่อข้าพเจ้าเลิกดื่มสุราได้แล้ว การบำเพ็ญทานและการรักษาศีลของข้าพเจ้าก็เป็นไปโดยง่าย ไม่มีอะไรติดขัดไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคขัดขวาง ทำให้เกิดการไขว้เขวอีกต่อไป จึงนับว่าข้าพเจ้าได้เหยียบย่างขึ้นสู่บันไดขั้นที่ 1 อันเป็นความงามเบื้องต้นของพระพุทธศาสนาได้แล้วอย่างค่อนข้างมั่นคงทีเดียว แต่คนอย่างข้าพเจ้าย่อมไม่อยู่หยุดเพียงเท่านี้แน่ จะต้องพยายามหาทางก้าวเดินขึ้นสู่บันไดขั้นที่ 2 คือการเจริญภาวนาให้ได้ฌานสมาบัติให้จงได้

                ด้วยเหตุนี้ในคืนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าเข้าไปไหว้พระสวดมนต์ตามที่หลวงพ่อเคยสอนไว้(จะสวดอะไรบ้างนั้นขอท่านผูอ่านจงเปิดดูในคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานที่หลวงพ่อเขียนไว้เถิด เพราะขณะนี้ได้มีจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มไว้แล้ว) แล้วลองนั่งดูตามแบบฉบับของการนั่งกรรมฐานคือนั่งขัดสมาธิเพชร นั่นเอง ต่อจากนั้นก็เริ่มระลึกถึงลมหายใจเป็นอารมณ์(อานาปานุสสติกรรมฐาน) แล้วกำหนดเอา “พุทโธ” เป็นองค์ภาวนา (พุทธานุสสติกรรมฐาน) คือหายใจเข้าภาวนาว่า “พุท” หายใจออกภาวนาว่า “โธ” และชั่วระยะเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีข้าพเจ้าก็เริ่มรู้สึกคันตามเนื้อตามตัว โดยเฉพาะที่ใบหน้าเหมือนมีตัวแมลงมาเดินไต่ยิ่งหักห้ามใจสะกดนิ่งไว้ เจ้าแมลงที่ว่าก็ดูเหมือนจะเดินไปเข้าหูบ้าง จมูกบ้าง จนข้าพเจ้าทนไม่ไหว ต้องใช้มือคอยปัด และเกาตามเนื้อตามตัวที่คันอยู่บ่อยๆ อดนึกขำไม่ได้ที่มีคนเคยเอาปัญหานี้ถามหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อเย้าว่า

                “ไอ้ตัวสมาธินี่มันคันใช่ไหม อย่าไปสนใจมันนะปล่อยไปเดี๋ยวมันก็หายคันเองแหละ” เอ้าปล่อยก็ปล่อย ข้าพเจ้ากำหนดจิตอยู่แต่ลมหายใจเข้า-ออก และองค์ภาวนา “พุทโธ” ต่อไปความคันต่างๆ เกิดหายไปจริงๆ แต่ความเจ็บที่ตาตุ่มซึ่งกดติดกับพื้นกระดานนี่สิมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนั้นที่ก้นกบอีกแห่งหนึ่งก็ดูเหมือนจะมีอาการเจ็บปวดขึ้น และแม้ว่าข้าพเจ้าจะหาเบาะมา รองพื้น และนั่งใหม่ก็หาได้พ้นจากความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นไม่ มิหนำซ้ำขาทั้งสองข้างของข้าพเจ้า กลับเกิดอาการเหน็บชาจนขยับเขยื้อนไม่ได้เลยอีกด้วยเป็นอันว่าการเจริญภาวนาของข้าพเจ้าในคืนนั้น ประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าการเจริญภาวนานั้นทำไมจึงช่างยากเย็นและทุกขเวทนาเช่นนี้ และถ้าแก้ไขไม่ตกก็เห็นทีที่ข้าพเจ้าจะก้าวขึ้นสู่บันไดขั้นที่ 2 ไม่ได้แน่ ดังนั้นในวันหนึ่งข้าพเจ้าจึงได้ถามหลวงพ่อว่า

                “หลวงพ่อคับ ถ้ากระผมทำแต่ความดีโดยไม่ต้องนั่งกรรมฐานจะมีสิทธิ์ตกนรกไหมครับ?”

                “มีสิทธิ์ตกแน่”หลวงพ่อตอบทันที

                “อ้าว ก็พระพุทธเจ้าสอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มิใช่หรือครับ?”ข้าพเจ้าแย้ง

                “ใช่ แต่คุณหรือคนธรรมดาทั่วๆ ไปจะมีใครกระทำแต่ความดี 100 เปอร์เซ็นต์ เล่า มีแต่ทำดีมาก ทำชั่วน้อยหรือทำชั่วมาก ทำดีน้อยจริงไหม? ไม่ใช่พระอรหันต์นี่ ท่านมีสติทุกลมหายใจเข้าออกจึงจะทำความดีได้ทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์”หลวงพ่ออธิบาย

                “แต่หลวงพ่อเคยพูดไว้นี่ครับว่า การบำเพ็ญทานและรักษาศีลนั้นถึงเป็นความงามเบื้องต้นของพระพุทธศาสนา หากตายไปก็มีสิทธิ์ไปจุติเป็นเทวดา เสวยสุขในสวรรค์ได้”ข้าพเจ้าแย้งเพราะยังข้องใจอยู่

                “เก่งนี่ ที่จำได้ แต่นั่นต้องหมายความว่า ก่อนตายจิตของคุณก่อนที่จะแยกจากกายต้องจับอยู่ในกุศลผลบุญของทาน ศีล ที่คุณทำมา

ด้วยนะ จงจะไปเกิดเป็นเทวดาได้ แต่ถ้าจิตของคุณก่อนที่จะแยกจากกายไปจับอยู่ในกรรมชั่วแม้เพียงน้อยนิด คุณก็ต้องไปรับกรรมชั่วก่อนต่อเมื่อชดใช้กรรมชั่วเสร็จสิ้นแล้วนั่นแหละ คุณจึงจะมีสิทธิ์ไปเสวยผลแห่งกรรมดีได้นะ”หลวงพ่ออธิบาย

                “มีข้อแม้อย่างนี้ด้วยเหรอครับ?”ข้าพเจ้าถามอ้อมแอ้ม

                “ใช่ บางคนอาจทำความดีถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ทำความชั่วเพียง 20 เปอร์เซ็นต์นะ กรรมดีและกรรมชั่วนั้นแยกกันโดยเด็ดขาด อยู่ที่ว่าจิตของคุณก่อนที่จะแยกจากกายนั้นไปจับอยู่ที่กรรมดีหรือ กรรมชั่วต่างหาก  ถ้าบังเอิญก่อนตายจิตไปจับเอากรรมชั่วเพียงน้อยนิด ก็อาจลงนรกก่อนได้และในทำนองเดียวกันหากแม้คุณทำชั่วมา 80 เปอร์เซ็นต์ ทำความดีได้เพียง 20 เปอร์เซ็นต์ หากจิตของคุณก่อนแยกจากกายไปจับเอากรรมดีเพียงน้อยนิดเข้า ก็สามารถไปเสวยสุขในสวรรค์ก่อนได้นะ ด้วยเหตุนี้คนเฒ่า คนแก่ จึงมักจะไปคอยให้สติแก่คนใกล้ตายเสมอ โดยให้คนใกล้ตายภาวนา “พุทโธ” บ้าง “สัมมาอะระหัง”บ้างเป็นต้น แต่ไม่เป็นผลหรอกนะ ถ้าคนที่ใกล้จะตายผู้นั้นมิได้เคยฝึกกรรมฐานมาก่อน”หลวงพ่ออธิบาย

          “จริงครับหลวงพ่อ ขนาดผมมิได้เจ็บไข้ไดป่วยสักนิด ยังทำจิตให้สงบจับอยู่ในองค์พุทโธ เพียงแค่สัก 2-3 นาที ยังไม่ได้เลยครับ”ข้าพเจ้ารีบสารภาพตามความเป็นจริง

                “ต้องฝึกให้ชำนาญนะ จึงจะทำได้ เหมือนเช่นนักมวยนั่นแหละแม้จะมีพี่เลี้ยงไปยืนตะโกนสอนอยู่ข้างเวทีให้ฮุคขวา ฮุคซ้าย เตะก้านคอ ศอก เข่า เขาก็ทำไม่ได้นะ หากมิได้ฝึกซ้อมจนเกิดความชำนาญมาก่อน ดังนั้นหากใครก็ตามสามารถฝึกกรรมฐานได้จนช่ำชอง ก็อาจสามารถกำหนดจิตไปวางอยู่ ณ ที่ใดก็ได้นะ ยิ่งฝึก จิตก็ยิ่งเชื่องนะ แม้ทำกรรมชั่วไว้มาก ทำกรรมดีไว้แต่เพียงน้อยนิด เขาก็สามารถกำหนดจิตของเขาไปวางไว้ในส่วนของกรรมดีได้ โอกาสลงนรกเขาจึงไม่มี และเมื่อเขาได้มีโอกาสได้อยู่ในกลุ่มของคนดี เขาก็มีโอกาสสร้างกุศลผลบุญได้มาก และในทุกครั้งที่สร้างกรรมดี ถ้าเขาอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ หากเจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นไม่ถือผูกโกรธ พยาบาท และอภัยให้ เขาก็อาจจะไม่ต้องไปชดใช้กรรมชั่วเลยก็ได้นะเสมือนหนึ่งเจ้าหนี้ ซึ่งเห็นคุณงามความดีของคุณ แล้วไม่ติดใจทวงหนี้คืนจากคุณนั่นแหละ คุณก็ไม่ต้องหาเงินไปใช้หนี้เขาใช่ไหม?”

                ดังนั้นหากคุณฝึกนั่งกรรมฐานได้อย่างช่ำชอง คุณจะได้เปรียบมากนะอย่างน้อยที่สุด ก่อนตายคุณก็จะสามารถกำหนดจิตของคุณไปวางอยู่ในกรรมดี แล้วไปเสวยสุขตามกุศลผลบุญที่คุณทำมาได้นะ อย่าลืมว่าการตายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรกลัว แต่สิ่งที่ควรกลัวคือการเกิดต่างหากด้วยเหตุนี้ การนั่งกรรมฐานจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากนะ เพราะจะเป็นตัวกำหนดการเกิด ดังที่ฉันพูดมาแล้วได้ด้วย อกจากนั้นประโยชน์ของกรนั่งกรรมฐานยังมีอีกมาก อาทิเช่น หากสามารถทำจิตให้สงบเพียงชั่วระยะเวลาแค่ช้างกระดิกหูก็ได้บุญ มากกว่าการให้ทานและรักษาศีลเสียอีกหากจิตสงบเพียง 5 นาที 10 นาทีก็อิ่มเอิบกวานอนหลับตั้งหลายชั่วโมงและถ้านำไปพิจารณาวิปัสสนาญาณก็จะเกิดปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงละกิเลสตัณหา อุปาทาน แอกุศลกรรม อันเป็นหนทางสู่โลกุตระ ซึ่งเป็นทางเดินของพระอริยเจ้าได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือการนั่งกรรมฐานนั้นเป็นการให้จิตเป็นมิตรแท้ของเราได้มีโอกาสพักผ่อนด้วยนะ ทุกวันนี้คนเรามักเอาใจการ ซึ่งเป็นมิตรเทียม แต่มิได้เอาใจจิตซึ่งเป็นมิตรแท้เลยนะ” หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียด

                “เอ หลวงพ่อครับ ผมชักงงๆ เรื่องจิตและกาย ที่หลวงพ่อพูดมากขึ้นทุกวันแล้วนะครับ จิตกับกายของคนเรามิได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรอกหรือครับ?”ข้าพเจ้ารีบถามด้วยความไม่เข้าใจจริงๆ
“จิตก็คือจิต, กายก็คือกาย จิตมิใช่เป็นอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของกายนะ เสมือนเช่นคนขับรถ ก็มิใช่เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวรถนั่นแหละ กล่าวคือคนขับรถก็มิใช่เป็นพวงมาลัย,มิใช่เป็นเพลา,มิใช่เป็นลูกล้อ ,มิใช่เป็นตัวรถฉันใด จิตก็มิใช่เป็นหัวใจ, ไส้, ปอด,มันสมองหรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายฉันนั้น เมื่อรถเกิดเสียคนขับก็พยายามซ่อม พยายามแก้ไข อย่างสุดความสามารถแต่เมื่อแก้ไขไม่ได้คนขับรถก็ต้องทิ้งรถหารถคันอื่นใหม่ฉันใด จิตก็เช่นกันนะ เมื่อกายเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยก็นำกายไปหาหมอให้รักษาเยียวยา แต่เมื่อไม่สามารถจะแก้ไขเยียวยาได้ จิตก็จำต้องทิ้งกายไปฉันนั้น”หลวงพ่ออธิบายและเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังสนใจฟังอยู่ก็พูดต่อว่า

                “คุณไปเอาอกเอาใจกายของคุณมามากต่อมากแล้วนะ อยากกินอะไรไม่ว่าจะใกล้ไกลแค่ไหนเพียงไรคุณก็พากายไปกินจนได้ อยากจะเที่ยวที่ไหน อยากจะดูอะไรคุณก็พากายไปเที่ยว ไปดู อยากจะเสียอยากจะงามเสีย เงินสักเท่าไรคุณก็สรรหามาแต่งให้กายคุณจนได้ อยากจะฟังอะไรคุณก็พากายไปฟัง หรือไม่ก็หาซื้อเครื่องเสียงขั้นดีมาเปิดให้ฟังแต่คุณเคยขอร้องอะไรกับร่างกายคุณบ้างไหม ลองใคร่ครวญดูให้ดีซิเวลาเกิดปวดหัว ปวดฟัน คุณขอร้องมิให้ปวดได้ไหม? เมื่อผมหงอกผมร่วงคุณขอร้องมิให้หงอก มิให้ร่วงได้ไหม?เวลาจะแก่คุณขอร้องไม่ให้แก่ได้ไหม? และเวลาคุณจะตายคุณขอร้องว่าอย่าเพิ่งตายได้ไหม? มันไม่เคยยอมทำตามที่คุณขอร้องเลยสักอย่างเดียวนะ นี่หรือมิตรแท้ มิตรแท้ก็ต้องฟังกันบ้างซิ ยามสุขก็ต้องสุขด้วยกัน ยามทุกข์ก็ต้องทุกข์ด้วยกันสิจึงจะถูก นี่อะไรทำชั่วไว้มากมาย พอตายนอนแหงแก๋ไม่ยอมตามไปรับกรรมในนรกด้วย ปล่อยให้จิตเป็นผู้รับภาระในการใช้หนี้กรรมเอาดื้อๆ เห็นไหมว่า มิตรที่แท้จริงของคุณก็คือจิตรนะ มิใช่กายเพราะจิตนั้นไม่มีวันตายและจะติดตามคุณไปทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะรับกรรมหรือเสวยสุขนะแต่คุณเคยเอาใจมิตรแท้หรือจิตของคุณบ้างไหม? เปล่าเลย คุณใช้จิตอย่างไม่เคยว่างเว้นใน 5 นาทีคุณคิดไม่รู้กี่เรื่องจริงไหม? มิหนำซ้ำยามนอนคุณก็ยังไม่ละเว้นที่จะใช้จิต จึงได้ฝัน ได้ละเมอเปรอะไปหมด คุณทารุณโหดร้ายต่อจิตซึ่งเป็นมิตรแท้ของคุณมามากแล้วนะ” หลวงพ่ออธิบายซ้ำ

                “แล้วผมจะเอาจิตซึ่งเป็นมิตรแท้ ได้อย่างไรครับหลวงพ่อ?” ข้าพเจ้าถามด้วยความอยากรู้

                “ก็นั่งกรรมฐานซิ เมื่อจิตว่างก็จะได้พักผ่อน เมื่อจิตได้พักผ่อนก็เกิดเอิบอิ่ม มีพลังกล้าแข็ง ยังไงล่ะ”หลวงพ่อตอบยิ้มๆ

                “เมื่อคืนก่อนผมนั่งดูบ้างแล้วครับ แต่ทนทุกขเวทนาไม่ได้ จึงต้องเลิกนั่ง”ข้าพเจ้าตอบแล้วเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดแก่ข้าพเจ้าในการนั่งให้หลวงพ่อฟังดังที่ได้กล่าวในตอนต้น ซึ่งเมื่อหลวงพ่อได้ฟังแล้วก็หัวเราะพูดว่า

                “เอ๊ะ คุณนี่เอาจริงไม่เลวนะ แอบไปนั่งกรรมฐานจนค้นพบว่าตัวสมาธินี่มันคันมันเมื่อยเสียแล้ว แต่อย่างน้อยคุณก็ได้บุญแล้วนะ แต่ความจริงแล้วการเจริญพระกรมฐานนั้น ไม่จำเพาะแต่จะต้องมานั่งกรรมฐานอย่างเดียวเท่านั้นนะ ท่านให้ทำได้ถึง 4 อิริยาบถคือ ยืน เดิน นั่ง หรือนอนก็ได้นะ และการนั่งก็ไม่จำเป็นต้องนั่งให้ถูกตามแบบฉบับนักหากนั่งกับพื้นไม่ได้ก็นั่งบนเก้าอี้ หรือไม่ก็นอนสบายๆ บนเก้าอี้ผ้าใบก็ได้เราฝึกจิตนะ ไม่ใช่ฝึกทรมานกาย พระพุทธเจ้าเองท่านก็สอนให้เดินสายกลางมิให้ตึงไป มิให้หย่อนไป ถ้ากำหนดกฎเกณฑ์ กันมากมายนักคนสูงอายุก็ดี คนอ้วนก็ดี ที่ไม่สามารถนั่งขัดสมาธิกับพื้นได้ ก็ไม่ต้องมีโอกาสได้นั่งกรรมฐานซิ ถึงพยายามนั่งก็จะไม่ได้แค่ปฐมฌานทั้งนั้นเพราะเสี้ยนหนามของปฐมฌานก็คือนิวรณ์ 5 ซึ่งได้แก่

                1.ความพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(กามฉันทะ)

                2.ความผูกพยาบาท

                3.ความง่วงเหงาหาวนอน

                4.ความคิดฟุ้งซ่านและความรำคาญหงุดหงิดใจ

                5.ความเคลือบแคลงสงสัยในผลการปฏิบัติ

                ดังนั้นเมื่อเกิดความเมื่อยขบขึ้นมา ความหงุดหงิดรำคาญใจซึ่งเป็นหนึ่งในนิวรณ์ก็เกิดขึ้น และนิวรณ์ 5 นี้หากเกิดขึ้นแม้เพียงอย่างใด อย่างหนึ่งปฐมฌานก็เกิดขึ้นไม่ได้แล้วนะ เป็นยังไงเข้าใจหรือยัง?”หลวงพ่ออธิบาย

                “เข้าใจแล้วครับแบบนี้ค่อยยังชั่วผมจะพยายามเจริญพระกรรมฐานใหม่ ที่ผมท้อใจก็เพราะทนนั่งเจ็บตาตุ่มไม่ไหว ทรมานจริงๆ ครับ”ข้าพเจ้าตอบอย่างดีใจ

                “แต่การเจริญกรรมฐานนั้น คุณจะต้องปฏิบัติทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานด้วยนะ เพราะหากปฏิบัติแค่สมถกรรมฐานแม้จะบรรลุไปสู้จุดสุดยอดคือ ทางฌาน 4 มีจิตเป็นเอกัคคตารมณ์ได้ก็จริงก็ยังเป็นแค่ฌานโลกีย์อยู่นะ จิตบริสุทธิ์ก็จริง แต่ยังขาดปัญญาเขาเรียกว่า “โง่บริสุทธิ์” นะ จริงอยู่ถ้าเกิดตายในขณะทรงฌานได้ก็จะไปเป็นพรหมได้ แต่คุณจะอยู่ในฌานได้ตลอดเวลาหรือ ส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่นอกฌานจริงไหม? และเมื่ออยู่นอกฌาน จิตซึ่งขาดปัญญาก็ย่อมตกเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมได้ เช่นปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปๆ ไปเหมือนกันและถ้าหากเกิดตายในขณะนั้นขึ้นมา แม้เคยทรงฌานได้ก็มีสิทธิ์ตกนรกได้นะ เขาเรียกว่า”ตายนอกฌาน” ยังไงล่ะ และก็มีมาแล้วมากต่อมากด้วยเป็นที่น่าเสียดายยิ่ง ดังนั้นคุณจะต้องเอากำลังฌานของสมถกรรมฐานนี้มาพิจารณาวิปัสสนากรรมฐานให้ได้ จึงจะล่วงข้ามความทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้ หากแม้ไม่ได้ในชาตินี้โอกาสลงนรกของคุณก็จะไม่มีนะถ้าคุณฝึกจิตเพียงแค่อยู่ในระดับพระโสดาบันให้ได้เท่านั้น คุณก็หมดสิทธิ์ลงนรกแล้วนะ” หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียดด้วยความเมตตาเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังตั้งใจฟังอยู่ก็อธิบายต่อว่า

                “การให้ทานและรักษาศีลนั้น เป็นเพียงแค่ป้องกันหรือจำกัดเขตมิให้กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมนั้นออกมาเพ่นพ่านนอกกรอบด้วยการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ความโลภ โกรธ หลงคือกิเลส หรือความทะยานอยากได้ อยากจะมี อยากจะเป็นคือตัณหา หรือการยึดมั่นถือมั่นว่าไอ้นั่นคือของเรา ไอ้นี่คือของเรา (อุปาทาน) ยังคงมีอยู่ในจิตนะ เสมือนหนึ่งจับเสือขังกรงไว้นั่นแหละ แม้มันจะไม่สามารถออกมาขบกัดทำร้ายใครได้ก็ตาม แต่มันก็ยังดุใช่ไหม? ส่วนการเจริญสมถกรรมฐานนั้นเพียงแค่ระงับกิเลส ตัณหา อุปทานและอกุศลกรรม ไว้ได้เพียงชั่วขณะที่ทรงฌานเท่านั้น เมื่ออกนอกฌานตัวกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรมก็กลับพื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้อีก เปรียบเสมือนฉัดยาสลบให้เสือนั่นเอง ถ้าหมดฤทธิ์ยาสลบเมื่อใด เสือก็ยังคงเป็นเสือที่ดุร้าย พร้อมจะขบกัดทำร้ายผู้คนอยู่เช่นเดิมนั่นแหละ แต่ถ้าหากได้เจริญวิปัสสนาญาณจนเกิดปัญญารู้เท่าทันในกิเลสตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรมแล้วค่อยๆละ ค่อยๆ ตัดสังโยชน์ 10 ออกไปทีละข้อๆ ได้จบครบทั้ง 10 ข้าเด็ดขาดเป็นสมุจเฉทปหาน แล้วนั่นแหละ ตัวกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม ทั้งหลายจึงหมดฤทธิ์ เปรียบเสมือนหนึ่งคุณใช้มีดเข้าห้ำหั่นเสือจนตายไปนั่นแหละ เสือจึงสิ้นฤทธิ์ เข้าใจหรือยังล่ะ?”หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียด แล้วถามข้าพเจ้าอย่างเมตตา

                “เข้าใจแล้วครับหลวงพ่อ ผมจะพยายามต่อไปครับ”ข้าพเจ้าตอบด้วยจิตใจที่อิ่มเอิบ และเบิกบาน

                แล้วท่านผู้อ่านที่รักล่ะ เข้าใจตามข้าพเจ้าแล้วหรือยัง?

Free Web Hosting