จะไปดู นรก สวรรค์ พรหม นิพพานได้อย่างไร?

            เมื่อหลวงพ่อได้ยืนยันให้ข้าพเจ้าทราบ อย่างแน่ชัดแล้วว่า นรก สวรรค์ พรหม และนิพพาน มีจริงตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ก็ทำให้ข้าพเจ้าอยากที่จะได้ไปรู้ไปเห็นกับเค้าบ้าง จะได้ไม่ต้องมาเป็นมนุษย์หลงโลก หรือปลาหลงหนองน้ำเน่าอย่างที่หลวงพ่อว่าอีกต่อไป ดังนั้นข้าพเจ้าจึงรีบถามหลวงพ่อต่อในทันใดว่า

                “ ถ้านรก สวรรค์ พรหม นิพพาน มีจริง แล้วผมจะไปดูกับเขาบ้างได้ไหมครับหลวงพ่อ?”

                หลวงพ่อหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ถามข้าพเจ้าว่า “เออ ที่คุณอ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้มาจนทุกวันนี้นั้น เป็นเพราะคุณเชื่อตามครูที่เขาสอนคุณใช่หรือไม่?”

                ข้าพเจ้านิ่งคิดเพราะไม่ทราบว่าหลวงพ่อจะมารูปใดแน่ แต่ก็ตอบว่า “ครับ ต้องเชื่อครู”

                “  ถ้าครูสอนว่า ก.ไก่ ต้องเขียนอย่างนี้ ข.ไข่ ต้องเขียนยังนี้ แต่คุณไม่สนใจ กลับหนีไปเล่นหยอดหลุม ทอยกองเสีย คุณจะรู้ไหมว่า ก.ไก่ เขียนอย่างไร  ข.ไข่ เขียนอย่างไร?” หลวงพ่อถามไปเรื่อยๆ


                “คงไม่ทราบครับ” ข้าพเจ้าตอบอย่างระวัง

                “ถ้าครูสอน กอ-อะ-กะ,กอ-อา-กา แล้วคุณไม่ฟังไปเล่นหยอดหลุม ทอยกองอีก คุณจะอ่านออกเสียงกับเขาได้ไหม?” หลวงพ่อถามต่อ

                “คงไม่ได้ครับ” ข้าพเจ้าตอบตามความเป็นจริง

                “คราวนี้ถ้าครูสอนให้อ่าน ตาดี  ตีงู....แล้วคุณก็ยังหนีไปเล่นหยอดหลุม ทอยกองอีก คุณคิดว่าคุณจะผสมคำอ่านไปกับเขาได้ไหม?” หลวงพ่อถามยิ้มๆ

                “คงไม่ได้ครับ” ข้าพเจ้าตอบ

                “รวมความว่าที่คุณอ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้ เพราะคุณเชื่อตามที่ครูสอนแน่นะ” หลวงพ่อถามย้ำ

                “ครับต้องเชื่อครู”

                “นั่นแหล่ะ เหมือนกัน ถ้าคุณอยากจะไปดูว่า นรก สวรรค์ พรหม และนิพพานมีจริงหรือไม่ คุณก็ต้องเชื่อและปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซิ คราวนี้คุณลองถามตัวเองดูซิว่า คุณเคยในทานไหม เคยรักษาศีลไหม เคยเจริญพระกรรมฐานไหม เคยเจริญวิปัสสนากรรมฐานไหม เคยบูชาพระหรือไหว้พระสวดมนต์เป็นประจำไหม เคยรู้จักระงับนิวรณ์ 5 บ้างไหม เคยทรงพรหมวิหาร 4 บ้างไหม...เป็นต้น ถ้าคุณไม่ตอบ ฉันก็จะตอบแทนให้ในหลักใหญ่ๆ ว่าทานนั้นคุณอาจทำบ้างโดยเต็มใจบ้างไม่เต็มใจบ้าง  ศีล ของคุณเอาแต่ศีล 5 เฉยๆ ก็รู้สึกว่าจะกระพร่องเต็มที โดยเฉพาะศีลข้อ 5 ของคุณนั้นขาดกระจุย ยิ่งการเจริญภาวนาด้วยแล้ว คุณไม่มีเลยนะ นี่ฉันพูดชี้ให้คุณเฉพาะแค่ทาน ศีล ภาวนา ซึ่งเป็นบันได 3 ขั้น เท่านั้นนะ เมื่อเป็นเช่นนี้คุณก็คงตอบตัวเองได้ใช่ไหมว่า คุณนั้นหาได้เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาอย่างจริงจังไม่ ดังนั้นการที่คนอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ เพราะไม่เชื่อครูฉันใด คุณก็ย่อมไม่มีวันได้ไปเห็น นรก สวรรค์ พรหม และนิพพาน เพราะคุณไม่เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าฉันนั้น”

                ข้าพเจ้านั่งตาปริบๆ ฟังหลวงพ่ออย่างตั้งอกตั้งใจ แม้ใจซึ่งเต็มไปด้วยมิจฉาทิฐิอยากที่จะโต้แย้งบ้าง แต่ก็อับจนปัญญาไม่ทราบว่าจะโต้แบบใด เพราะหลวงพ่อพูดความจริงทุกอย่าง จึงได้แต่ส่งเสียงอึกอักอยู่ในลำคอ

                                                             หลวงพ่อเห็นข้าพเจ้านั่งฟังด้วยอาการสงบ ก็พูดว่า “การที่พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักการให้ทานนั้น ก็เพราะทานเป็นพื้นฐานของบุญขั้นแรก หากเป็นคุณปฏิบัติตามได้จะมีผลอย่างมหาศาล คุณลองพิจารณาดูจะเห็นได้ว่า ทุกครั้งที่คุณควักเงินออกบริจาคเป็นทานจิตของคุณในขณะที่ให้ทานย่อมไม่มีความโลภใช่ไหม เพราะถ้ายังมีความโลภ คุณก็บริจาคทานไม่ได้เงิน 10 บาท 20 บาทก็มีความหมายใช่ไหม และจิตคุณขณะที่ให้ทานก็ย่อมไม่มีความโกรธใช่ไหม เพราะถ้าคุณมีความโกรธอยู่ใครมาขอแค่ 1 บาท คุณก็ไล่ตะเพิดไปแน่ๆ ใช่ไหม และเมื่อจิตไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ก็ย่อมไม่มีความหลงใช่หรือไม่และผลที่ตามมาจากการให้ทานบ่อยๆ นี้เองจะทำให้คุณเกิดพรหมวิหาร 4  ใน 2  ข้อแรกคือ เมตตา(ความรัก) และกรุณา(ความสงสาร) ขึ้นโดยไม่รู้ตัว และเมื่อความเมตตา

กรุณาเกิดขึ้นในจิต ก็จะทำให้คุณยิงนก ตกปลา ฆ่าชีวิตคนและสัตว์ไม่ได้ จะลักขโมยของผู้ใดก็เกิดความสงสารเห็นใจ จะเป็นชู้กับลูกเมียใครก็ทำไม่ได้จะโกหกมุสาใครแม้แต่นัดเขาไว้ไม่ไปตามนัดก็สงสารเขา จะเสพย์สุรายาเมาก็สงสารลูกเมียในที่สุดคุณก็จะรักษาศีล 5 ได้โดยไม่ยากเย็น เป็นการก้าวเข้าสู่บันไดขั้นที่ 2 ของบุญได้ใช่ไหมและเมื่อใดศีล 5 ของคุณบริสุทธิ์ การเจริญพระกรรมฐานซึ่งเป็นบันไดขั้นที่ 3 ก็ย่อมไม่มีอุปสรรคมากนัก”

                ข้าพเจ้าฟังหลวงพ่ออธิบายอย่างเพลิดเพลิน และคิดตามไปด้วยเหตุและผลโดยตลอด แม้จะยืดยาวเพียงไรข้าพเจ้าก็จดจำได้อย่างแม่นยำและจำได้ตลอดกาลด้วย (สำหรับเรื่องการจำแม่นนี้ อาจเป็นเพราะข้าพเจ้าเคยสร้างสมมาแต่ปางก่อนก็ได้ เพราะตั้งแต่เด็กข้าพเจ้าข้าพเจ้าสอบได้ที่ 1 มาโดยตลอดก็เพราะสามารถอ่านหนังสือครั้งเดียวจำได้ โดยไม่ต้องนั่งท่องจำเหมือนคนอื่นให้เสียเวลาเลย)

                 หลวงพ่อก็คงรู้ว่าข้าพเจ้าเข้าใจที่ท่านพูด และยังมีความในใจที่จะฟังต่ออย่างไมรู้สึกเบื่อหน่าย จึงอธิบายต่อว่า “การที่จะนั่งพิสูจน์ค้นคว้า เกี่ยวกับ นรก สวรรค์ พรหม และนิพพาน หรือหลักสูตรพระพุทธศาสนาในเรื่องต่างๆ นั้น จะมาค้นคว้าหากันในด้านวัตถุของโลกวิทยาศาสตร์นั้ย่อมไม่มีทางสำเร็จ เพราะเป็นการค้นหาและพิสูจน์ที่ไม่ตรงจุด ถ้าจะให้ตรงจุดก็จะต้องหัดทรงอารมณ์ดีขั้นต้นๆ 3 ประการให้ได้เสียก่อน คือ 1. เลิกสนใจกับความดีความชั่วของคนอื่น สนใจแต่อารมณ์ของตนเองให้

ทรงอยู่ในความดีโดนเฉพาะ 2 .ทรงศีล 5 บริสุทธิ์ตลอดกาล ไม่แนะนำให้ผู้อื่นทำลายศีล และไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำลายศีล 3 .  ระงับนิวรณ์ 5 ให้ได้เมื่อทรงอารมณ์ดี 3 ประการได้แล้วก็พยายามทรงพรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) ให้ครบถ้วนตลอดเวลาที่มีลมปราณอยู่ และให้ทรงได้เป็นปกติด้วยต่อจากนั้นไป คุณก็ฝึกจิตจับนิมิตด้วยกสินอย่างใดอย่างหนึ่ง 3 อย่างนี้ คือ 1.เตโชกสิณ(เพ่งไฟ)  2. โอทาตกสิณ (เพ่งสีขาว)  3. อาโลกกสิณ(เพิ่งแสงสว่าง) การเพ่งนั้นเมื่อคุณทรงอารมณ์ขั้นต้นจนเป็นปกติ ผลของการเพ่งไม่มีอะไรยากใช้เวลาอย่างช้าไม่เกิน 7 วัน ก็จะทรงนิมิตเป็นฌานได้อย่างสบาย และใช้นิมิตนั้นเป็นสื่อ นรก สวรรค์ และพรหมโลกได้ และเมื่อใด หากคุณทรงวิปัสสนาญาณได้ อารมณ์ถึงโคตรรภูญาณเป็นอย่างน้อยคุณก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่า พระนิพพานนั้นมีจริงอีกด้วยและถ้าจะให้ดีอีกสักนิด เห็นชัดอีกสักหน่อย คุณก็พยายามละโลกธรรม 8 ประการเสียเลยเรื่องได้ลาภเสื่อลาภ ได้ยศเสื่อมยศ สุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา จงปล่อยไป ไม่สนใจเอามาเป็นอารมณ์ หากทำได้เช่นนี้แล้ว คุณก็จะสามารถพิสูจน์ความจริงได้ว่า นรก สวรรค์ พรหม และพระนิพพาน นั้นมีจริง อ้าวนั่นคุณนั่งหลับไปแล้วรึ”

                “ป่าวครับหลวงพ่อผมเข้าสมาธิฟังครับ ผมถนัดในการนั่งหลับตาฟังเพราะจำได้แม่นยำดี อ้อ หลวงพ่อครับ โคตรภูญาณ คืออะไรครับ?” ข้าพเจ้าตอบแล้วถามต่อ

                “เมื่อคุณเจริญสมถกรรมฐานด้วยการเพ่งกสิณจนได้ทิพจักษุญาณแล้ว คุณก็จะต้องเจริญวิปัสสนาญาณให้เข้าถึงโคตรภูญาณ ยังไงล่ะ โคตรภูญาณนั้นจะอยู่ระหว่างโลกียะกับโลกุตระ คือ ส่วนหนึ่งของใจยังเป็นโลกียชน แต่อีกส่วนหนึ่งของใจจะเป็นโลกุตรชน คือใกล้เป็นพระโสดาบันนั่นแหละ” หลวงพ่อตอบ “เป็นยังไงยังงงๆ ใช่ไหม ไม่เป็นไร ต่อไปฉันจะเขียนคู่มือปฏิบัติพระกรรมานให้ อ่านดูแล้วปฏิบัติตามไปสักวันหนึ่งไม่นานเกินรอคุณก็จะเข้าใจที่ฉันพูดมานี้ทุกอย่างได้เอง”
                “หลวงพ่อครับ แล้วมโนมยิทธิ ล่ะครับไปดูนรก สวรรค์ พรหม นิพพานได้ไหม?” ข้าพเจ้ารีบถามเพราะเคยได้ยินบางท่านพูดถึงกัน

                “คุณจะต้องเข้าใจก่อนนะว่ามโนมยิทธินั้น หมายถึงอะไร มโนมยิทธิแปลว่าฤทธิ์ทางใจ ถ้ามโนมยิทธิแบบเต็มกำลังแล้ว ท่านหมายถึงการถอดจิตออกกจากร่างแล้วท่องเที่ยวไปในภพต่างๆ และผู้ที่จะสามารถทำได้ จะต้องทรงวิชชาสาม หรือ ทรงอภิญญา 6คุณไม่เข้าใจอีกละซิ เห็นนั่งทำหน้างงๆ ไม่เป็นไรถ้าอยากจะรู้ว่าวิชชาสาม หรืออภิญญา 6 มีอะไรบ้าง ฉันจะเขียนไว้ในคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานแล้วคุฯไปอ่านเอาเองก็แล้วกัน เอาเป็นว่าถ้าหากคุณทางฌาน 4 ได้ในกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งกสิณ 3 อย่างที่ฉันว่าแต่ขอแนะนำให้เอาอาโลกกสิณ คือเพ่งแสงสว่าง จะเป็นการดีเพราะเป็นกสิณที่สร้างทิพยจักษุญาณโดยตรง เมื่อได้ทิพยจักษุญาณแล้วก็ทำจิตให้โปร่งสว่างไสว แล้วกำหนดจิตว่าของร่างกายนี้จงเป็นโพรงก็จะเห็นว่าร่างกายเป็นโพรงใหญ่ต่อจากนี้ก็กำหนดจิตว่า ขอร่างอีกร่างหนึ่งจงปรากฏขึ้นภายในกายนี้ กายอีกกายหนึ่งก็จะปรากฏขึ้นต่อจากนี้ก็ค่อยบังคับกายนั้นให้เคลื่อนไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายอาทิเช่น ตับไตไส้ปอด เส้นเลือดทุกเส้น ลำไส้ทุกส่วน ประสาททุกส่วนบังคับให้กายนั้นเดินไปตรวจให้ถ้วนทั่วทั้งร่างกาย จะเห็นว่าแม้เส้นเลือดฝอยเล็กๆ ร่างนั้นก็เดินไปได้อย่างสบาย เสมือนเดินอยู่บนถนนสายใหญ่ เห็นร่างกายเรานี้เป็นโพรงใหญ่คล้ายเรือหรือถ้ำขนาดใหญ่เมื่อท่องเที่ยวในรางกายจนชำนาญแล้ว ก็ควรหาความรู้ในสภาพของอวัยวะต่างๆ ตลอดจนสภาพความสกปรกโสมมในร่างกายของเราไปด้วยเมื่อมีความชำนาญในการเที่ยวและการตรวจสอบสภาพร่างกายของเราดีแล้วก็กำหนดจิตว่า
เราจะไปนรกขุมใด สวรรค์ชั้นใด พรหมชั้นใด หรือ พระนิพพาน หรือบ้านใด เมืองใด ดาวดวงใด ก็พุ่งกายออกไปก็จะถึงถิ่นที่ประสงค์ทันที ให้เวลาไม่ถึงครึ่งวินาที เมื่อถึงแล้วจิตจะบอกเองว่าสถานที่นั้นเป็นภพภูมิใด บ้านเมืองใด ใครบ้างที่พบโดยไม่ต้องมีคนบอกเพราะสภาพของจิตเป็นทิพย์ กิเลสไม่ได้หุ้มห่อไปด้วย จึงรู้อะไรได้ตามความเป็นจริงเสมอ เป็นยังไงล่ะ นั่งฟังเพลินเลย น่าสนุกนะ หากฝึกได้ละก็คุณได้เที่ยวสนุกแน่ ไม่ต้องเสียค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พักและค่าใช้จ่ายอื่นใดเลยนะ ไม่ต้องไปเที่ยวยืมใครหายใจ ไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของบ้านเจ้าของสถานที่ สามารถเข้าไปตรวจสอบอะไรต่ออะไรได้หมดเลยนะ”

                “ครับ ผมจะพยายามฝึก” ข้าพเจ้าตอบ

                เป็นยังไงครับ ท่านผู้อ่านท่านใดอยากรู้ว่า นรก สวรรค์ พรหม และนิพพานมีจริงหรือไม่ จะไม่ลองพิสูจน์โดยการฝึกปฏิบัติตามที่หลวงพ่อสอนบ้างหรือ ยิ่งในปัจจุบันนี้ หนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานของหลวงพ่อก็ยังมีการจัดพิมพ์ขึ้นมาแล้ว มิหน้ำซ้ำหลวงพ่อยังได้เมตตาฝึกมโนมยิทธิให้ลูก หลาน ญาติ มิตร อยู่อย่างสม่ำเสมอทุกเดือนที่บ้าน พลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ณ ซอยสายลมอีกด้วย จึงนับเป็นโอกาสดีอย่างยิ่งของท่านที่สนใจทั้งหลาย

                อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็แอบภาคภูมิใจอยู่มิใช่น้อยที่คำถามข้อนี้ของข้าพเจ้ามีส่วนช่วยผลักดัน ให้หลวงพ่อต้องจัดทำหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานขึ้นมา เพราะหลวงพ่อคงได้พิจารณาแล้วว่าหากไม่จัดทำขึ้น ก็คงต้องนั่งตอบคำถามของข้าพเจ้าซึ่งเป็นคนขี้สงสัยอยู่อย่างไม่มีวันจบสิ้นนั่นเอง และแม้ข้าพเจ้าจะหมดสงสัย ลูกหลานญาติมิตรของหลวงพ่ออีกไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนคนก็คงจะต้องสงสัยโน่นสงสัยนี่กันอีก และหลวงพ่อก็คงจะต้องตอบคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ดี ดังนั้นหากท่านผู้อ่านไม่เข้าใจในศัพท์บางคำที่ข้าพเจ้าเขียนก็ดีหรือปฏิบัติไปแล้วติดขัดในขั้นตอนใดก็ดี ขอจงได้อ่านในคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานบ้าง ไตรภูมิ บ้าง มหาสติปัฏฐาน 4 และหนังสืออื่นๆ ที่หลวงพ่อเขียนเอาไว้เถิด ก็จะเข้าใจได้เอง ยิ่งปฏิบัติ ปัญญาก็จะยิ่งเกิดจนในที่สุดท่านจะสามารถถามเองและตอบเองได้อย่างน่าพิศวง

Free Web Hosting