พระสงฆ์ปฏิบัติตนเหมาะสมแล้วหรือ?

                จากการที่ข้าพเจ้าได้พบได้เห็นเหตุการณ์แปลกๆ และสิ่งที่อาจเรียกว่าความมหัศจรรย์ต่างๆ จากหลวงพ่อหลายหนหลายครั้ง ดังที่ได้เขียนเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ทราบแล้วในตอนที่ 1 อีกทั้งได้สอบถามปัญหาหลวงพ่อไปบ้างแล้ว และก็ได้รับคำตอบที่แจ่มกระจ่างในทุกปัญหาที่ถามซึ่งในชีวิตของข้าพเจ้ายังไม่เคยพบพระสงฆ์องค์ใด ที่มีปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิศเช่นหลวงพ่อมาก่อน ก็ยิ่งบังเกิดความเคารพเลื่อมใสอย่างจริงใจแล้วเกิดศรัทธาที่จะปฏิบัติธรรมกับเขาบ้าง แต่ก็เป็นเพียงแต่คิดเท่านั้นยังปฏิบัติไม่ได้สักที

                ด้วยจิตยังสงสัยเคลือบแคลงสงสัยในพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าอยู่ทั้งนี้เพราะเมื่อครั้งที่ข้าพเจ้ายังเยาว์วัย ประมาณ ปี พ.ศ. 2487 ซึ่งยังอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ข้าพเจ้าได้ไปช่วยเหลือปรนนิบัติหลวงปู่ (เป็นปู่ของข้าพเจ้าเอง )ซึ่งบวชอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม) เป็นระยะเวลานานพอสมควรในช่วงนั้นก็ได้เห็นความเหลวแหลกของพระในวัดมากมายอาทิเช่น มีการแบ่งพรรค แบ่งพวก มีการแย่งเส้นทางบิณฑบาต มีการเลือกรับนิมนต์เฉพาะเจ้าภาพรายที่คาดคิดว่า เมื่อไปแล้วจะได้ฉันอาหารรสเลิศ และได้รับการถวายเงินมากพอคุ้มค่า ครั้นเมื่อผิดหวังกลับถึงวัดก็นั่งสวดเจ้าภาพ เป็นต้น

                และอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้มีโอกาสติดตามหลวงปู่ไปที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี (ขอสงวนนาม) ซึ่งเป็นช่วงของงานพิธีสลากภัตมะม่วงพอดี จึงขออนุญาตหลวงปู่ ติดตามบรรดาลูกศิษย์ไปบริเวณพิธีที่เจาบันไดอิฐปรากฏว่าบรรดาพุทธศาสนิกชนนำมะม่วงมา คอยใส่บาตรพระเรียงรายสองฝากยันไดขึ้นลงเขา แน่นขนัดไปหมด ลูกศิษย์แต่ละคนต้องถ่ายมะม่วงจากบาตรพระใส่ตะกร้าหาบตามแต่ละหาบมีมะม่วงเต็มแทบจะล้น ระหว่างทางที่หาบมะม่วงกลับวัดนั้น ลูกศิษย์ทุกคนแม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่ก็พูดคุยกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและหวังกันว่าวันนี้คงจะได้ลิ้มรสมะม่วงอกร่องสุกเหลืองอร่ามกันให้เต็มคราบสมกับที่อยากกินกันมานานเสียที ข้าพเจ้าเองซึ่งมีส่วนช่วยผลัดเปลี่ยนลูกศิษย์วัดบางคนหาม ก็พลอยมีความหวังไปกับเขาด้วย

                แต่เมื่อถึงวัด ความหวังของลูกศิษย์ทุกคนรวมทั้งข้าพเจ้าก็พังทลายลงอย่างไม่น่าเชื่อ กล่าวคือพระแต่ละองค์ได้สั่งให้ลูกศิษย์นำหาบมะม่วงในส่วนของตน เข้าไปจัดเรียงในห้องของตน แล้วปิดห้องลั่นกุญแจเสียสิ้น พระแต่ละองค์ต่างก็ถือมะม่วงติดมือกันออกมาเพียงองค์ละลูกสองลูกพอแก่การฉันของตนเองเท่านั้น เชื่อไหมครับว่านอกจากลูกศิษย์จะไม่ได้ลิ้มรสมะม่วงที่อุตส่าหาบหามกันมาแล้วแม้อาหารที่เหลือจากพระฉันเป็นต้นว่าไข่เค็ม ปลาแห้ง ปลาลิด เนื้อเค็ม หรืออาหารอื่นที่พอจะเก็บเอาไว้ได้นานๆ ได้ หลวงตา หลวงลุง หลวง หลวงพี่ ทั้งหลายเหล่านั้นก็เอากระดาษหนังสือพิมพ์ห่อเก็บเข้ากุฏิกันเป็นแถวคงเหลือแต่เศษข้าวกับน้ำแกงคาถ้วยให้บรรดาลูกศิษย์กิน นี่เป็นเพียงมื้อเช้าเท่านั้นนะ พอตกเพล พระเหล่านั้นก็ลำเลียงอาหารจากกุฏิออกมาองค์ละอย่างสองอย่างโดยเลือกเอาเฉพาะที่เห็นว่าหากเก็บไว้เป็นต้องบูดแน่ ส่วนไข่เค็ม ปลาแห้ง  ปลาสลิด และเนื้อเค็มนั้น ยังคงห่อเก็บแอบไว้ในกุฏิอย่างเหนียวแน่นรัดกุม ซึ่งเมื่อฉันเพลเสร็จก็คงเหลือเพียงข้าวก้นบาตรให้ลูกศิษย์แย่งกันกินเท่านั้น  ยิ่งมื้อเย็นด้วยแล้วไม่ต้องพูดถึงเลย เย็นใดโชคดีก็พอมีข้าวที่เกือบจะบูดพบคลุกน้ำปลาได้บ้าง เคราะห์ดีที่หลวงปู่ของข้าพเจ้า ได้กรุณามอบเงินไว้ให้ข้าพเจ้าแยกไปหาซื้ออาหารกินเองต่างหาก ไม่เช่นนั้นคงจะลำบากมิใช่น้อย

                แม้ว่าในขณะนั้นข้าพเจ้าจะเยาว์วัย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามะม่วงจำนวนมาก ที่พระแต่ละองค์แยกกันนำไปกองเก็บไว้ในกุฏิของตนนั้นหากจะฉันโดยลำพังแล้ว ก็ไม่น่าจะฉันได้หมด และมะม่วงก็คงจะต้องเน่าเสียก่อนเป็นแน่ และก็จริงดังคาดได้มีญาติโยมของพระแต่ละองค์มาพากันขนไปในวันรุ่งขึ้นจนหมดสิ้น ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบว่าจะขนเอาไปกินหรือขนเอาไปขายกันแน่

                อีกครั้งหนึ่งในระหว่างที่ข้าพเจ้ายังเป็นนักเรียนนายร้อย จปร.และมีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมบ้านที่เชียงใหม่ในช่วงปิดภาคเรียน วันหนึ่งได้ขี่จักรยานเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ รอบเมือง ผ่านวัดแห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม) เห็นพระเณรกำลังช่วยกันมุงกระเบื้องหลังคาโบสถ์เหงื่อไหลไคลย้อยจึงหยุดดู นึกชมอยู่ในใจว่าพระเณรเหล่านี้ มีความขยันขันแข็ง มีจิตใจดีที่ช่วยกันบูรณะซ่อมแซมโบสถ์ชำรุด ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าในการประกอบศาสนกิจโดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยากในขณะที่กำลังนึกชื่นชมอยู่นั้น ก็มีเด็กนักเรียนหญิงรุ่นสาวกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมาบรรดาพระเณรที่กำลังมุงกระเบื้องหลังคาโบสถ์อยู่ต่างก็พากันละมือ หันไปจ้องมองนักเรียนสาวกลุ่มนั้นเป็นตาเดียวกัน และพร้อมกันนั้นก็มีเสียงหนึ่งจากหลังคาโบสถ์ตะโกนว่า “ซ้าย ขวา ซ้าย” ให้จังหวะการเดินของนักเรียนสาวๆ และพลันก็มีลูกคู่จากบนหลังคาโบสถ์ตะโกนรับ “ซ้าย ขวา ซ้าย” กันอย่างเซ็งแซ่ ความรู้สึกชื่นชมของข้าพเจ้าที่มีอยู่เมื่อสักครู่หายไปโดยฉับพลัน และ

      กลายเป็นความโกรธเกลียดเข้ามาแทนที่ อย่างไม่สามารถที่จะงับไว้ได้ จึงตะโกนขึ้นไปว่า “เฮ้ย อะไรกันโว้ย” และด้วยเสียงตะโกนนี้เอง จึงทำให้พระเณรเหล่านั้นเลิกราความคึกคะนองหันไปมุ่งหลังคาโบสถ์กันต่อไปได้

                อีกครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าไปฝึกภาคที่ปราจีนบุรี และทางโรงเรียนนายร้อย จปร. ได้ให้นักเรียนการกระโจมที่พักอยู่ที่สนามหญ้ากำแพงวัดวัดหนึ่งตกตอนเย็นข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ก็ได้เห็นพระ 3 รูปล้อมวงเตะตะกร้อกันและอีก 3 รูปล้อมวงดื่มน้ำขาวกันเป็นที่ครื้นเครง

                นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ไม่เข้าท่าของผู้ครองผ้าเหลืองอีกมากมายที่ข้าพเจ้าได้พบได้เห็นมาซึ่งจะไม่ขอนำมากล่าวในที่นี้ แต่สรุปความว่า ภาพความเหลวแหลกและพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสมของพระสงฆ์ดังกล่าวมันฝังอยู่ในจิตใจของข้าพเจ้าตลอดมา ยากที่จะทำใจให้มีความเคารพนับถือด้วยความจริงใจได้ และถ้าหากขืนปล่อยทิ้งไว้ก็จะเป็นอุปสรรค อย่างใหญ่ในการปฏิบัติธรรม อย่างแน่นอน ดังนั้นในวันหนึ่งข้าพเจ้าจึงได้ระบายความรู้สึกของข้าพเจ้าให้หลวงพ่อฟังว่า

                “หลวงพ่อครับ ผมขอสารภาพกับหลวงพ่ออย่างตรงไปตรงมานะครับว่า ผมเคารพในพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าท่าน เป็นผู้ทรงเสียสละอย่างใหญ่หลวงไม่ว่าจะเป็นมงกุฎของจอมจักรพรรดิ ราชินีผู้เลอโฉม ราชบุตรที่น่ารัก ตลอดจนนางสนมกำนัลในและข้าราชบริพารผู้จงรักภักดี เพื่อบวชบวชแสวงหาสัจธรรม ด้วยความยากลำบากอย่างแสนเข็ญโดยลำพังพระองค์เอง และเมื่อทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ยังทรงเมตตาแสดงธรรมสั่งสอนให้สัตว์โลกทั้งหลายพ้นทุกข์อีกด้วยดังนั้นผมจึงเคารพเทิดทูนพระพุทธองค์ ด้วยความจริงใจโดยไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยใดใดทั้งสิ้น และผมก็เคารพเทิดทูนในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า โดยไม่มีอะไรเคลือบแคลงสงสัยเช่นกัน ทั้งนี้เพราะผมได้พิจารณาในพระธรรมคำสั่งสอนด้วยเหตุและด้วยผลแล้วเห็นว่าเป็นความจริงตลอดกาล หาอะไรมาโต้แย้งไม่ได้เลย และถ้าหากปฏิบัติตามก็ล้นแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีที่ถูกที่ควร ทั้งต่อตัวเองและสังคมส่วนรวมทั้งสิ้น แต่พระสงฆ์นี่สิครับ ผมบอกตรงๆ ว่าผมไม่ศรัทธาเลย”

                “พระสงฆ์เป็นยังไงหรือ?” หลวงพ่อถามอย่างอารมณ์ดี และข้าพเจ้าก็ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ข้าพเจ้าเคยประสบมาให้หลวงพ่อฟังดังที่ได้เขียนไว้แล้วในตอนต้น ซึ่งหลวงพ่อฟังแล้วก็ยิ้มถามเรื่อยๆ ว่า

                “เออ แล้วคุณรู้ได้ไงล่ะ ว่าท่านเหล่านั้นเป็นพระสงฆ์”

                “พระสงฆ์ซีครับหลวงพ่อ เพราะโกนหัวนุ่งเหลือง ห่มเหลืองแบบหลวงพ่อนี่แหล่ะครับ”ข้าพเจ้าชักเริ่มหงุดหงิด

                “ที่โกนหัว นุ่งเหลืองห่มเหลืองน่ะ เขาเรียกว่าสมมติสงฆ์ นะ มิใช่พระสงฆ์หรอก เออ นี่คุณสวดอิติปิโส ได้ไหม?” หลวงพ่อพูดแล้วย้อนถามข้าพเจ้า

                “โธ่ หลวงพ่อ ตอนเป็นนักเรียนนายร้อยน่ะ เขาจับผมเข้าแถวสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน ไม่เคยว่างเว้นเลยครับ โดยเฉพาะบทอิติปิ โสน่ะ ผมสวดคล่องมาก เพราะย่าสอนให้ตั้งแต่เด็ก” ข้าพเจ้ารีบตอบ

                “เออ ดีมาก ไหนคุณลองสวดอิติปิ โส ท่อนสุดท้ายให้ฉันฟังซิ” หลวงพ่อพูดยิ้มๆ

                “สุปะฏิปันโน ภะคะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโห ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโนภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลี กะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติฯ” ข้าพเจ้าสวดให้หลวงพ่อฟังตามที่หลวงพ่อท่านสั่ง อย่างชัดถ้อยชัดคำ ทั้งๆที่ยังงงอยู่ว่า หลวงพ่อให้สวดไปทำไม

                “เอาละ ทีนี้คุณลองแปลให้ฉันฟังซิ ว่าในบทสวดตอนนี้เขาว่ายังไง” หลวงพ่อถาม

                “เขาก็ให้ระลึกถึงคุณงามความดีของพระสงฆ์ นั่นแหละครับ”ข้าพเจ้าตอบอย่างขอไปที เพียงแค่คิดเอาตัวรอด แต่ก็ไม่รอดเพราะหลวงพ่อถามย้ำอีกว่า  “นั่นสิ ท่าคุณงามความดีของพระสงฆ์น่ะ มีอะไรบ้าง”

                “ไม่ทราบครับ”ข้าพเจ้าตอบเสียงอ่อย ๆ อย่างจำนน ด้วยไม่รู้จริงๆ ว่าเขาแปลว่าอย่างไร

                “ความจริงแล้ว อิติปิโส ท่อนสุดท้ายนี้ ท่านกล่าวไว้โดนละเอียดนะว่าพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านั้น จะต้องเป็นพระสุปฏิปันโนคือเป็นผู้ที่ปฏิบัติดี,อุชุปฏิปันโน คือเป็นผู้ที่ปฏิบัติ,ญายปฏิปันโนคือเป็นผู้ที่ปฏิบัติควรแล้ว,สามีจิปฏิปันโน คือผู้ที่ปฏิบัติชอบแล้วอย่างไรล่ะ เข้าใจไหม?” หลวงพ่ออธิบาย แล้วถามข้าพเจ้าด้วยความเมตตา
  “เข้าใจแล้วครับหลวงพ่อ ผมเพิ่งนึกออกตอนนี้เองครับว่า ในตอนเช้าแถวสวดมนต์นั้นมีคำแปลของตอนนี้ด้วยว่า พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดี,ปฏิบัติตรง,ปฏิบัติควร,ปฏิบัติชอบและเป็นพยานในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ว่าปฏิบัติตามได้จริง และมีผลประเสริฐจริง”

          “ เอ ไม่เลวนี่ ความจริงคุณก็จำได้ออกแม่นยำและก็เป็นคำอธิบายที่ชัดเจนอยู่แล้วนี่นา ว่า พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านั้น ต้องเป็นพระที่มีความประพฤติอย่างไร?” หลวงพ่อชม แต่พอข้าพเจ้าจะได้ปลื้มสักหน่อยก็ต้องชะงัก เพราะหลวงพ่อพูดต่อว่า “หรือคุณท่องจำมาแบบนกแก้ว นกขุนทอง เลยไม่รู้ความหมาย?”

                “ครับ คงเป็นแบบนั้นครับ เพราะผมถูกบังคับให้สวดกสวดไป ตามหน้าที่ให้จบๆ ไป จะได้เข้านอนเท่านั้นเอง”ข้าพเจ้าตอบอ่อยๆ ไปตามความเป็นจริง

                “เออ ดี รับมาตรงๆ อย่างนี้ฉันชอบ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าที่ท่านปฏิบัติดี,ปฏิบัติตรง,ปฏิบัติควร,ปฏิบัติชอบ ตามที่คุณว่านั้นก็เพื่อมุ่งสู่เส้นทางเดินของพระอริยเจ้านั่นเอง” หลวงพ่ออธิบายต่อ

                “พระอริยเจ้า เป็นอย่างไรครับ หลวงพ่อ”ข้าพเจ้ารีบถาม

                “อ้าว พระอริยเจ้าก็คือพระที่มุ่งทางโลกุตระมิใช่ทางโลกียะ ไงล่ะ” หลวงพ่อตอบเรื่อยๆ แต่ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งงงหนักเข้าไปอีก จึงถามว่า

                “แล้ว โลกียะกับโลกุตระ เป็นยังไงครับหลวงพ่อ”

                “การที่ผู้ใดทำอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วยังหวังลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็นการตอบแทนแล้ว เขายังเรียกว่าเป็นโลกียชนอยู่ ดังนั้น บรรพชิตท่านใด แม้มีสมณศักดิ์สูงส่งแค่ไหน หากยังชื่นชมในลาภสักการก็ดียังหลงในสมณศักดิ์ชั้นยศที่ได้รับก็ดี หรือหลงในคำสรรเสริญเยินยอของสานุศิษย์ก็ดี หรือหลงในสุขจากสถานที่พำนักที่อบอวลไปด้วยไอเย็นของเครื่องปรับอากาศ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ดีก็ยังจัดอยู่ในประเภทของโลกียชนนะ หากนุ่งผ้าเหลืองก็ยังคงเป็นสมมุติสงฆ์อยู่นะ แต่ถ้าการทำอะไร ไม่หวังลาภ ยศ สรรเสริญ สุข สู่โลกุตระนี้แหละจะเป็นหนทางที่หลุดพ้นจากกิเลส ตัณหา อุปทาน อกุศลกรรมทั้งหลายแหล่ เป็นพระอริยเจ้าได้ และพระอริยเจ้าที่ว่านี้ก็ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์นั่นเอง เข้าใจหรือยังล่ะ?” หลวงพ่ออธิบายแล้วถามอย่างอารมณ์ดี

                “พอเข้าใจครับ เราจะรู้ได้ว่าท่านองค์ใด น่าจะเป็นสมมุติสงฆ์หรือองค์ใดน่าจะเป็นพระอริยสงฆ์ ก็ต้องดูกันที่ความประพฤติ และการปฏิบัติของแต่ละท่าน ใช่ไหมครับ?” ข้าพเจ้าตอบด้วยความภาคภูมิใจ

                “เออ ใช่ เก่งเหมือนกันนี่ จำไว้นะ ว่าต้องดูที่ปฏิปทาของแต่ละท่านนะ” หลวงพ่อชมและย้ำเพิ่มเติม

                “ครับหลวงพ่อ แต่ผมจะรู้ได้อย่างไรว่าพระอริยสงฆ์องค์ใด ท่านเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี หรือพระอรหันต์ ล่ะครับ?”ข้าพเจ้ารีบถามต่อเพราะเห็นหลวงพ่อเมตตา

                “อ้าว จะรู้ได้ก็ต้องเอาสังโยชน์ 10 มาเป็นเครื่องวัดซิคุณ”หลวงพ่อตอบอย่างเห็นเป็นเรื่องราวธรรมดา แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วมันไม่ธรรมดาเลยเพราะคำว่า สังโยชน์ 10 ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยพบเคยได้ยินเลย จึงถามหลวงพ่อว่า

                “สังโยชน์ 10 เป็นอย่างไรครับ หลวงพ่อ?”

                “สังโยชน์ 10 ก็แปลว่า กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัดจิตใจให้ตกอยู่ในวัฏฏะ มี 10 อย่างด้วยกัน คือ

                1 สักกายทิฏฐิ เห็นว่าขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้ เป็นเรา เป็นของเรา เรามีขันธ์ 5 ขันธ์ 5 มีในเรา

                2 วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยและสงสัยในผลการปฏิบัติว่าจะไม่มีผลจริง

                3  สีลัพพตปรามาส รักษาศีล แบบลูบๆ คลำๆ คือไม่รักษาศีลจริงจัง เคร่งครัดตามสมควร

                4 กามราคะ มีจิตมั่วสุม หมกมุ่น ใคร่อยู่ในกามารมณ์เป็นปกติ

                5 ปฏิฆะ มีอารมณ์ผูกโกรธ จองล้าง จองผลาญเป็นปกติ

              6 รูปราคะ ยึดถือมั่นในรูปฌาน โดยคิดเอาว่ารูปฌานเป็นคุณธรรมพิเศษสูงสุดที่ทำให้พ้นจากวัฏฏะได้

              7 อรูปราคะ ยึดมั่นในอรูปฌาน โดยคิดเอาว่าอรูปฌานเป็นคุณธรรมพิเศษสูงสุด ที่ทำให้พ้นจากวัฏฏะได้

                8 อุทธัจจะ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ครุ่นคิดอยู่ในอกุศล มีอกุศลวิตกเป็นอารมณ์

                9 มานะ มีอารมณ์ถือตัว ถือตน ถือชั้นวรรณะเกินพอดี

                10 อวิชชา มีความคิดเห็นว่า โลกามิส เป็นสมบัติที่ทรงสภาพไม่เปลี่ยนแปลง ไม่สลายตัว

                กิเลสทั้ง 10 ประการนี้แหละท่านเรียกว่า “สังโยชน์ 10” ละเข้าใจไหม? จดทันไหม? แต่ความจริงไม่ต้องจดก็ได้ เพราะฉันจะเขียนไว้ให้ในคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน”หลวงพ่ออธิบาย

                “ครับ แต่สังโยชน์ 10 จะเกี่ยวข้องกับพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหนต์ ได้อย่างไรหรือครับ?” ข้าพเจ้าถาม

                “อ้าว ถ้านักปฏิบัติ นักเจริญวิปัสสนาญาณท่านใดกำจัดกิเลสในสังโยชน์ 10 สามข้อแรกได้(ข้อ 1 ถึง ข้อ 3)ท่านเรียกว่าผู้นั้นได้บรรลุ พระโสดาบัน ถ้าบรรเทาสังโยชน์ข้อที่ 4 และข้อที่ 5 ลงได้ก็จะเป็นพระสกิทาคามี ถ้าตัดกิเลสในสังโยชน์ 10 ได้ใน 5 ข้อแรก (ข้อ 1 ถึงข้อ 5) ท่านว่าท่านผู้นั้นได้บรรลุพระอนาคามี และถ้าตัดกิเลสสังโยชน์ 10 ได้ทั้ง 10 ข้อท่านว่าผู้นั้นได้บรรลุพระอรหันต์ ยังไงล่ะ” หลวงพ่ออธิบายอย่างเมตตา

                “แหม ผมเสียดายจังครับหลวงพ่อ ที่ไม่ได้บวชเป็นพระ มิฉะนั้นแล้วผมจะลองปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์ 10 กับเขาดูบ้าง”ข้าพเจ้าพูด

                “อ้าว นี่คุณยังไม่เข้าใจคำว่าพระเลยซินี่ คำว่า “พระโยคาวจร” นั้นท่านหมายรวมถึงทั้งท่านที่บวชเป็นพระ และอุบาสกอุบาสิกานะเพราะท่านใดก็ตามที่เริ่มเจริญสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานท่านเรียกว่า พระ ทั้งสิ้นนะ ทั้งนี้เพราะพระหมายถึงผู้ที่เริ่มเข้าถึงความเป็นผู้ประเสริฐ โยคาวจร แปลว่า ผู้ที่ประกอบความเพียรนะ รวมความแล้วพระโยคาวจร ก็คือท่านผู้มีความประพฤติประกอบความเพียร เพื่อให้ถึงซึ่งความเป็นผู้ประเสริฐนะ ดังนั้นฆราวาสอย่างพวกคุณหากเริ่มเจริญพระกรรมฐานเมื่อใด ท่านเรียกว่า พระ ทันที ได้เปรียบว่าท่านที่บวชเสียอีก เพราะท่านที่บวชแล้วเขายังไม่เรียกว่าพระนะ แต่เรียกว่าสมมติสงฆ์ เพราะเพียงแต่เอาตัวเข้าพวกเท่านั้น ยังมิได้เอาใจเข้าพวกต่อเมื่อท่านที่บวชเริ่มปฏิบัติพระกรรมฐานนั่นแหละ ท่านจึงจะเรียกว่าพระและหกประกอบความเพียรเพื่อหวังบรรลุมรรคผลนิพพาน จึงจะเรียกว่าพระโยคาวจร ซึ่งถือว่าเป็นพระแท้นะ เข้าใจหรือยังล่ะ?” หลวงพ่ออธิบาย “ ถ้ายังงั้นฆราวาส อย่างพวกผมก็มีสิทธ์ปฏิบัติเพื่อให้บรรลุมรรคผล เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์กับเขาได้ซิครับหลวงพ่อ” ข้าพเจ้าถามด้วยความอยากรู้

                “ใช่แล้ว เป็นได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นฆราวาสหากบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์แล้ว จะต้องตามภายใน 24 ชั่วโมงนะ” หลวงพ่อตอบ

                “ทำไมต้องตายด้วยล่ะครับ?” ข้าพเจ้าถามด้วยความสงสัย

                “ตายเพื่อไปเสวยสุขในนิพพานน่ะ เป็นสุดยอดของความดีในพระพุทธศาสนาทีเดียวนะคุณ และการที่ต้องตาย ก็เป็นเพราะจิตของพระอรหันต์นั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องเกินกว่าที่จะอยู่ในคราบของฆราวาสต่อไปได้ทั้งนี้เพราะฆราวาสจะต้องเกลือกกลั้วกับโลกียชน
และสิ่งแวดล้อมต่างๆซึ่งฆราวาสที่มีจิตเป็นพระอรหันต์ ไม่สมารถจะยอมรับได้อีกต่อไปแล้วนั่นเอง แต่ถ้าพระภิกษุสงฆ์ที่สำเร็จพระอรหันต์ ก็จะยังมีชีวิตต่อไปนะ พอเข้าใจหรือยังล่ะ?” หลวงพ่ออธิบายแล้วย้อนถามข้าพเจ้า

                “เข้าใจแล้วครับ หลวงพ่อ”ข้าพเจ้าตอบด้วยความเคารพ

                “เอาละ ในเมื่อเข้าใจแล้วว่า พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าที่แม้จริงนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีความประพฤติประกอบความเพียรเพื่อหวังบรรลุมรรคผลนิพพาน ด้วยการละกิเลสในสังโยชน์ 10 ไปทีละข้อจนเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์เช่นนี้คุณพอจะเคารพเทิดทูนในพระสงฆ์ได้หรือยัง” หลวงพ่อพูดแล้วถามยิ้มๆ

                “ถ้าผมได้เข้าใจอย่างนี้แล้ว ผมก็ต้องเคารพเทิดทูนในพระสงฆ์ได้อย่างไม่มีอะไรเคลือบแคลงสงสัยอีกต่อไปน่ะซิครับ ที่ผมไม่เคารพเพราะยังไม่มีใครเขาอธิบายให้ผมฟังอย่างที่หลวงพ่ออธิบายกับผมมาก่อนนี่ครับ”ข้าพเจ้าตอบ

                เป็นยังไงครับ ท่านผู้อ่านที่รัก พอจะเข้าใจในพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง กระจ่างชัดขึ้นบ้างแล้ว ใช่ไหมครับ

Free Web Hosting