พระพุทธศาสนาในปัจจุบันเสื่อมจริงหรือ?

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ข้าพเจ้าเป็นคนที่ชอบศึกษาค้นคว้าอยู่เฉยไม่ค่อยจะได้ เมื่อสนใจในเรื่องของพุทธศาสนาขึ้นมาก็หาหนังสือมาอ่านเล่มแล้วเล่มเล่า ในที่สุดก็อ่านไปพบหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเขียนอ้างว่าได้มีการสำรวจประชาชนในโลกนี้ แล้วพบว่าชาวโลกนับถือศาสนาคริสต์มากเป็นอันดับหนึ่ง ศาสนาอิสลามเป็นอันดับสอง และพุทธศาสนาเป็นอันดับสาม โดยเฉพาะได้กล่าวถึงความเสื่อมของพุทธศาสนาด้วยว่าชาวพุทธนั้นส่วนใหญ่ถือบวชกันตามประเพณี  มากกว่าที่จะถือบวชกันด้วยความศรัทธาเช่นศาสนาอื่น กล่าวคือพ่อแม่ที่มีลูกชายหากอายุครบบวช ก็จะจัดการ ให้ลูกได้บวชเรียนก่อนมีครอบครัวคือ “บวชก่อนเบียด” เพื่อให้พ่อแม่ได้มีโอกาสเกาะชายผ้าเหลืองของลูกไปสวรรค์กับเขาบ้าง และเมื่อถึงวันบวชของลูกชายก็มีการล้ม วัว ควาย หมู ไก่ เลี้ยงดูแขก มิหนำซ้ำพ่อแม่ของผู้บวชก็จะดื่มสุรา เมายา จนเมาแประออกไปรำ นำนาคเข้าสู่โบสถ์ ซึ่งนับว่าเป็นการผิดศีลข้อ 5 ของพุทธศาสนา เองเสียด้วยซ้ำไป เป็นต้น (เสียดายที่ข้าพเจ้าจำชื่อหนังสือเล่มนั้นไม่ได้ เพราะอ่านมากว่า 20 ปีแล้ว)

                ด้วยเหตุนี้เอง ในวันหนึ่งข้าพเจ้าจึงได้ถือโอกาส เล่าเรื่องราวทั้งหมดดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นให้หลวงพ่อฟังแล้วตั้งคำถามว่า

                “การที่พุทธศาสนิกชนถือบวชตามประเพณีมากกว่าที่จะถือบวชเพราะแรงศรัทธาก็ดี หรือการที่ต้องล่ม วัว ควาย เลี้ยงดูแขกก็ดี หรือการที่บิดา มารดาของผู้บวชดื่มสุรายาเมา จนเมาแประออกไปรำนำนาคลูกชายเข้าสู่โบสถ์นั้น เป็นเพราะพุทธศาสนาเสื่อมไปใช่ไหมครับหลวงพ่อ?”

                “พุทธศาสนานั่นไม่มีวันเสื่อมหรอกคุณ แต่คนต่างหากมันเสื่อมเหมือนเพชรที่อยู่ในตมก็ยังคงเป็นเพชรที่ล้ำค่าอยู่ดี หากแต่คนที่มีโอกาสได้พบเห็นมันหารู้ในคุณค่าของเพชรไม่ เท่านั้นเอง” หลวงพ่อตอบอย่างอารมณ์ดี

                “หรือเหมือนไก่ได้พลอย ใช่ไหมครับหลวงพ่อ”ข้าพเจ้าเห็นพ้องด้วย

                “นั่นแหละ ทำนองเดียวกัน ดังนั้นเราจะไปเหมาว่าเพชรไม่ดี พลอยไม่ดียังไม่ได้นะ”หลวงพ่ออธิบาย

                “แล้วถ้าพระพุทธศาสนาของเราดีทำไมจึงมีคนนับถือน้อยกว่าศาสนาอื่นเล่าครับ?” ข้าพเจ้ารีบถามด้วยความอยากรู้

“เอ คุณรู้จักร้านขายเพชรบ้างไหม?” หลวงพ่อย้อนถาม

                “รู้จักครับ” ข้าพเจ้าตอบแบบงงๆ

                “แล้วคุณรู้จักร้านขายของชำไหมว่าเขาขายอะไร?”หลวงพ่อถามเรื่อยๆ

                “รู้จักครับ ร้านขายของชำก็คือร้านที่ขายข้าว กะปิ น้ำปลา ยาสีฟัน สบู่แฟ้บ น้ำมันใส่ผม น้ำมันก๊าด รองเท้าแตะ ไม้กวาด เกลือ น้ำตาล เต้าหู้ยี้ ฯลฯ รวมความว่าขายไม่เลือกละครับ สุดแล้วแต่ว่าในร้านพอจะมีที่ทางให้วางขายอะไรได้บ้างและลูกค้าต้องการซื้ออะไรครับ” ข้าพเจ้าตอบตามที่คิดได้

                “เอ้อ แล้วคนเข้าร้านขายเพชรมากหรือคนเข้าร้านขายของชำมากล่ะ” หลวงพ่อถามยิ้มๆ

                “ก็ต้องเข้าร้านขายของช้ำมากสิครับ เพราะร้านขายของช้ำมีของที่คนทั่วๆ ไปต้องการซื้อไปใช้สอยประจำวันมากส่วนร้านขายเพชรนั้นต้องคนมีเงินจริงๆ จึงจะเข้าได้ครับ” ข้าพเจ้าตอบ

                “เอาละทีนี้ถ้ามีคนบอกคุณว่า หากเรียนจบชั้นประถม 4 แล้วมีงานทำได้เงินเดือนๆ ละ 5000 บาท และถ้าจบมหาวิทยาลัยก็มีเงินเดือนๆ ละ 5000 บาทเท่ากันล่ะ คุณจะเลือกเรียนอะไร?”

หลวงพ่อถามต่อ

                “ผมก็ต้องเลือกเรียนแค่จบชั้นประถม 4 ซิครับง่ายดี เรื่องอะไรผมจะต้องเสียเวลาไปทนเรียนจนจบมหาวิยาลัยเล่าครับ เงินเดือนก็เท่ากัน” ข้าพเจ้าตอบด้วยเหตุผล

                “นั่นแหละเหมือนกันคนที่เข้าถึงพระพุทธศาสนานั้นมีน้อยเพราะพระพุทธศาสนานั้นมีความงามและล่ำค่าประดุจเพชร และปฏิบัติให้บรรลุถึงแก่นแท้ได้ยาก ดุจดังเรียนให้จบมหาวิทยาลัยในพระพุทธศาสนานั้นบาปก็ต้องเป็นบาป บุญก็ต้องเป็นบุญ จะนำมาหักลบล้างกันมิได้ ใครกระทำกรรมดีก็ไปรับผลแห่งกรรมดีนั้น ใครกระทำกรรมชั่วก็ต้องไปชดใช้กรรมชั่วที่ได้กระทำมา กรรมใดก่อก็ต้องรับกรรมนั้น เป็นกรรมกฎหมายตายตัวที่หลักเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งพระภิกษุ สามเณร ที่ถือบวชในพระพุทธศาสนาก็จักต้องถือศีลเคร่งครัด มีภรรยาหรือแม้แต่อยู่ในที่

ลับกับหญิงสองต่อสองก็มิได้ นอกจากนั้นพระพุทธศาสนาสั่งสอนแต่เรื่องจริงไม่มีการเอาอะไรมาหลอกล่อ และไม่มีการโฆษณาที่เกินจากความเป็นจริงอีกทั้งไม่บังคับผู้ใดให้มาเป็นสาวกด้วย ซึ่งผิดกับศาสนาอื่นๆ ที่มีการโฆษณาและบังคับผู้คนจนเกิดสงครามศาสนา บ่อยครั้งดังที่ได้ปรากฏแล้วในประวัติศาสตร์บางศาสนาก็อะลุ้มอล่วยให้นักบวชในศาสนามีภรรยาได้ ขับรถได้อยู่ตามบ้านเรือนได้ มิหนำซ้ำผู้ใดทำบาปก็ล้างบาปให้ได้อีกด้วย ซึ่งทุกอย่างดูง่ายไปหมด ใครๆก็ต้องชอบ เพราะง่ายดีเหมือนเรียนประถม 4 นั่นแหละ”หลวงพ่ออธิบาย

                “นั่นสิ ครับ ศาสนาของเขาดูแล้วก็ง่ายดี แต่เมื่อปฏิบัติตามแล้วผลที่ได้รับนั้นจะเทียบเท่ากับพุทธศาสนาหรือครับ ผมยังสงสัยอยู่?”ข้าพเจ้าถามด้วยความกังขา

                “แล้วคุณเชื่อไหมเล่าว่า หากคุณเรียนจบประถม 4 จะมีคนจ้างคุณทำงานเดือนละ 5000 บาทเท่ากับคนที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย?”หลวงพ่อย้อนถาม

                “คงจะเชื่อไม่ได้หรอกครับ เป็นไปไม่ได้แน่”ข้าพเจ้าตอบตามที่คิด

                “เอาละ คุณตั้งใจฟังให้ดีนะ โดยทั่วๆ ไปแล้วผู้คนมักจะรีบด่วนสรุปเอาว่า พุทธศาสนาก็เช่นเดียวกับศาสนาอื่น คือมุ่งหมายที่จะสั่งสอนให้คนประพฤติดี ละเว้นประพฤติชั่ว ละเว้นการเบียดเบียนซึ่งกันและกันและอยู่ร่วมกันด้วยสันติสุข แต่ถ้าคุณได้ศึกษาค้นคว้า และใช้ปัญญา พิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว จะเห็นได้ว่าพระพุทธศาสนานั้นเหนือกว่าศาสนาอื่นทุกศาสนา กล่าวคือ พุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นได้สอนเลยไปจนสามารล่วงข้ามความทุกข์ สู่พระนิพพานได้ ซึ่งศาสนาอื่นหาได้สอนไปถึงไม่”หลวงพ่ออธิบายและเมื่อเห็นข้าพเจ้า ตั้งอกตั้งใจฟังอย่างแท้จริง ก็พูดต่อว่า “อันความงามในพุทธศาสนานั้นแบ่งออกได้เป็น 3 ขั้นตอนด้วยกันคือ

                1.ความงามเบื้องต้น ได้แก่อารมณ์ความดีทางใจ คือให้ทานรักษาศีล

                2.ความงามในท่ามกลาง ได้แก่อารมณ์ความดีในการเจริญฌานสมาบัติ

                3.ความงามในที่สุด ได้แก่ อารมณ์นับถือความจริงคือการเจริญวิปัสสนาญาณ เพื่อให้รู้เท่าทันในกิเลส ตัณหา อุปทานและอกุศลกรรม อัน

จะทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้นั่นเอง

                ดังนั้น หากคุณนำเอาศาสนาอื่นมาเทียบเคียงกับพุทธศาสนาแล้วจะเห็นได้ว่า ศาสนาบางศาสนานั้นหากปฏิบัติโดยครบถ้วนถึงจุดสุดยอดแล้ว ก็จะได้ผลเพียงแค่ความงามในเบื้องต้นของพุทธศาสนาเท่านั้นเองนะ เพราะเพียงแค่สั่งสอนให้คนมุ่งประพฤติดี มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้ยากไร้ ช่วยเหลือสังคม ละเว้นการประพฤติชั่วและเบียดเบียนซึ่งกันละกันซึ่งก็คือทานศีล นั่นเอง ยังไม่มีแม้แต่การเจริญภาวนาเพื่อให้เกิดฌานสมาบัติ และศาสนาบางศาสนาก็เช่นกันหากได้ปฏิบัติโดยครบถ้วยถึงจุดสุดยอดแล้ว ก็จะได้เพียงแค่ความงามในท่ามกลางของพุทธศาสนาเท่านั้นเอง เพราะมีการสอนสูงสุดเพียงแค่เจริญภาวนาให้เกิดฌานสมาบัติเท่านั้น หาได้สอนเลยไปถึงความเจริญวิปัสสนาญาณซึ่งเป็นความงามในที่สุด ดังเช่นพุทธศาสนาไม่ จริงอยู่ทุกศาสนาล้วนดีทั้งสิ้นไม่ใช่ฉันว่าไม่ดีนะ แต่ความดีก็ต้องมีดี ดีมาก และดีที่สุดใช่ไหมล่ะ?”หลวงพ่ออธิบาย

                “ถ้าผมจะสมมติเอาว่า ความงามในเบื้องต้น ก็เหมือนกับความรู้ระดับประถมศึกษา ความงามในท่ามกลางก็คล้ายกับความรู้ในระดับมัธยมศึกษา และความงามในที่สุดก็คือ จบมหาวิทยาลัยจะพอไปได้ไหม?” ข้าพเจ้าพยายามคิดเปรียบเทียบ

                “เออ เข้าที จบประถมศึกษาก็มีความรู้กว่าคนที่ไม่ได้เรียนนะอย่างน้อยก็พออ่านออกเขียนได้ ยิ่งจบมัธยมศึกษาก็ยิ่งมีความรู้มากขึ้นและยิ่งจบมหาวิทยาลัยก็ยิ่งดีใหญ่ เป็นบัณฑิตทีเดียวนะ เอาละ ตามที่ฉันอธิบายมาก็จะเห็นได้ว่า พระพุทธศาสนาเปรียบเสมือนเพชรอันล่ำค่า แต่เป็นที่น่าเสียดายที่พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักในคุณค่า คนไทยบางคนกลับหันไปยอมรับนับถือศาสนาอื่น เปรียบประหนึ่งปาเพชรอันล้ำค่าทิ้ง แล้วไขว่คว้าหาพลอย หาโป่งข่ามมาประดับแทน ผิดกับฝรั่งมังค่าในปัจจุบัน เขากลับเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนายอมทอดทิ้งลูกเมีย ข้ามน้ำข้ามทะเลมาบวชเรียนกันมากมาย นอกจากนั้นในแต่ละประเทศก็มีการจัดตั้งชมรมพุทธศาสนากันขึ้นมาอีกเรื่อยๆ ฉันขอย้ำว่าการศึกษาพระพุทธศาสนานั้น ถ้าต้องการให้เข้าลึกซึ้งและเป็นประโยชน์แก่ตนเองแล้ว จะต้องมีการศึกษาทั้งปริยัติและปฏิบัติประกอบกัน มิฉะนั้นแล้วจะเกิดการเข้าใจไขว้เขวหรือแปลความหมายของคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เพี้ยนไปก็ได้นะ”หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียด

                ข้าพเจ้าคิดว่าหลวงพ่อได้ตอบคำถามในข้อนี้กระจ่างชัดแล้วนะครับขอท่านผู้อ่านที่รัก จงใช้วิจารณญาณพิจารณาใคร่ครวญต่อไปเถิด

Free Web Hosting