ประวัติวัดภคินีนาถ วรวิหาร
โดย
พระราชมงคลมุนี (เงิน สุทนฺโต)
ชื่อวัดโดยทางราชการ วัดภคินีนาถ วรวิหาร ชื่อที่ชาวบ้านเรียก วัดบางจาก สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๒๐๐ พระราชทานวิสุงคามสีมา พ.ศ. ๒๓๒๕ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิด วรวิหาร ประเภท มหานิกาย อยู่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ (ปัจจุบัน) แขวง
บางพลัด-บางอ้อเขต ๑ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ภาค ๑
ตำแหน่งที่ตั้งวัด
เลขที่ ๒๙๕ แขวงบางพลัด เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร บริเวณใกล้เคียง
ทิศเหนือ ติดต่อกับถนน (เดิมเป็นคันคู) ยาวประมาณ ๗๒ วา
ทิศใต้ ติดต่อกับคลองบางจาก ยาวประมาณ ๗๒ วา
ทิศตะวันออก ติดต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยา ยาวประมาณ ๑๕๐ วา
ทิศตะวันตก ติดต่อกับคันคู ยาวประมาณ ๑๕๐ วา
ลักษณะพื้นที่โดยทั่วไปของบริเวณที่ตั้งวัด
เมื่อเทียบกับวัดใกล้เคียงที่ติดกับลำน้ำเจ้าพระยาแล้ว เห็นได้ชัดว่า เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ลุ่มกว่าวัดอื่น ฤดูน้ำ ฤดูฝน ลานวัดเจิ่งนองด้วยน้ำ โอกาสแห้งมีไม่กี่เดือน งานวัดที่จะมีประชาชนไปร่วมงานมาก ๆ เช่น งานกฐิน เป็นต้น จึงไม่สะดวก ผู้ปกครองคงจะรู้สึกเช่นนี้เป็นส่วนมาก จึงพยายามถมพื้นที่วัดกันมาหลายยุคหลายสมัย
จากหลักฐานและการบอกเล่า ใช้ทรายถมบ้าง ขี้แกลบบ้าง ขี้เลื่อยบ้าง ตามแต่จะหาได้
และตามกำลังของสมภารแต่ละยุค แต่เพราะเหตุที่บริเวณวัด กว้างขวางมาก และการลำเลียงวัสดุที่จะถม ซึ่งอาศัยแต่ทางน้ำทางเดียวไม่สู้สะดวกจึงอยู่ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป จึงไม่ดอนเท่าที่ควร มาถมกันอย่างจริงก็เมื่อมีถนนเข้าถึงวัดแล้ว
อสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ดินของวัด
๑. จำนวนเนื้อที่ตั้งวัดที่แขวงบางพลัด เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร มีเนื้อที่ตามสำรวจเดิม ๒๖ ไร่ ๓ งาน ๔๔ ตารางวา แต่รางวัดเพื่อออกโฉนด เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ ได้เนื้อที่ ๒๘ ไร่ ๓ งาน ๙๖ ตารางวา โฉนดเลขที่ ๑๑๖๖๓๗ เล่ม ๑๑๖๗ หน้า ๑๘ อ.บางกอกน้อย จ. กรุงเทพมหานคร
๒. ที่ธรณีสงฆ์ ที่แขวงบางพลัด เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร มีเนื้อที่ทั้งสิ้น ๑๑ ไร่ โฉนดเลขที่ ๒ น.๑ เลขที่ ๓๓๕ ตำบลบางพลู อำเภอบางกอกน้อย โฉนด ๘๑๙ สารบัญเล่มที่ ๙ หน้า ๑๙
ความสำคัญของวัด
๑. เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิด วรวิหาร
๒. เป็นวัดเจ้าคณะแขวงบางพลัด-บางอ้อ เขต ๑
๓. เป็นที่ตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม ในแขวงบางพลัด-บางอ้อ เขต ๑
๔. เป็นวัดที่มีปูชนียวัตถุ และถาวรวัตถุที่สำคัญทางโบราณคดี รัชกาลที่ ๑ รัชกาลที ๒ รัชกาลที่ ๓
นามวัด ผู้สร้างวัด และผู้ปฏิสังขรณ์
วัดภคินีนาถ วรวิหาร เป็นวัดโบราณมีมาก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมมีชื่อว่า
“วัดบางจาก” เพราะตั้งอยู่ปากคลองบางจาก ชาวบ้านย่านนั้นมักจะเรียกว่า “วัดนอก”
เพราะคู่กับวัดใน คือ วัดเปาโรหิตย์ วัดทอง และวัดสิงห์ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ พระราชทานนามใหม่ว่า “วัดภคินีนาถ” โดยมีฐานะศักดิ์เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร นักปราชญ์ทางโบราณคดี สันนิษฐานจากวัตถุที่ยังคงเหลืออยู่ คือวิหาร เป็นวัดที่สร้างตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย
ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมหลวงเทพยวดี พระราชธิดาองค์น้อยของรัชกาล ที่ ๑ ทรงสถาปนาใหม่ สร้างเสร็จแต่พระอุโบสถหลังเดียว หมื่นพินิจพลภักดิ์ (ชิด พงษ์จินดา) เล่าว่ามีการเปรียญอีกหลังหนึ่ง อยู่ด้านเหนือของกุฏิตำหนักชำรุดและรื้อสมัย พระครูวิสุทธิสังวร (ผ่อง) แล้วปลูกใหม่
ยื่นออกไปทางทิศตะวันออก อันเป็นที่งอกริมแม่น้ำ คือ การเปรียญหลังปัจจุบันนี้ ซึ่งก็ทรุดโทรมใช้ไม่ได้แต่ยังไม่รื้อแล้วเปลี่ยนอุโบสถหลังเดิมเป็นวิหารคือหลังที่ยังอยู่ในขณะนี้ ใช้พระอุโบสถหลังใหม่ตั่ง
แต่นั้นมาการสถาปนาและทรงสร้างพระอุโบสถในครั้งนั้น มีขนาดยาว ๑ เส้น ๘ วา ๒ ศอก
พระประธาน หน้าตักกว้าง ๕ ศอก สูง ๗ ศอก พระอุโบสถมีพระระเบียง (วิหารคต) รอบพระอุโบสถ พระระเบียงสร้างยกฐานขึ้นเป็นอาสนสงฆ์โดยรอบ เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป ๘๐ องค์ มีผู้สันนิษฐานกันว่า พระอุโบสถหลังนี้น่าจะสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ บางท่านว่าน่าจะป็นรัชกาลที่ ๒ และบางท่านว่าควรจะเริ่มในรัชกาลที่ ๑ แล้วมาเสร็จในรัชกาลที่ ๒ ข้าพเจ้าเห็นว่าน่าจะเป็นได้ทั้ง ๓ อย่าง จึงขอนำประวัติสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระองค์นั้น มากล่าวไว้ในที่นี้เพื่อผู้อ่านสันนิษฐานเอาเอง สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมหลวงเทพยวดี มีพระประสูติกาล พ.ศ. ๒๓๒๐ ปีระกา เป็นที่ ๑๐ ในรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี พระนามเดิมว่า “เอี้ยง” หรือ “นกเอี้ยง” พระชนมายุได้ ๕ พรรษา บิดาปราบดาภิเษกเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงประภาวดี
หรือประไพวดี ต่อมาทรงกรมฯ เป็นกรมขุนและกรมหลวงเทพยวดีโดยลำดับ ทรงมีพระชนม์ในรัชกาลที่หนึ่ง
๒๗ ปี ในรัชกาลที่ สอง ๑๔ ปี สิ้นพระชนม์ก่อนรัชกาลที่สอง ๑ ปี ตามพระราชพงศาวดารกล่าวว่า ถวายพระเพลิงเสร็จในปีนั้น
รัชกาลที่ ๒ ก็ประชวนสวรรคตในปีพ.ศ. ๒๓๖๗ เป็นเวลาเข้าพรรษาแล้ว ๑๑ วันเปลี่ยนแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า
อยู่หัวเสวยราชสมบัติ พอออกพรรษาเสด็จพระราชดำเนินทอดกฐิน
วัดบางจากมีรับสั่งให้รื้อ
พระตำหนักของสมเด็จกรมหลวงเทพยวดีมาปลูกเป็นกุฏิเจ้าอาวาส และให้เปลี่ยนนามวัดบางจาก เป็นวัดภคินีนาถ
(เดิมเขียน เป็น วัดภคินีนาฏ)เมื่อรัชกาลที่ ๑ สวรรคต สมเด็จฯ มีพระชนม์ ๓๒ โดยปี และในรัชกาลที่ ๒ อีก๑๒ปี
พระองค์มีพระชนม์ ๔๗ พรรษา
เนื่องด้วยสมเด็จเจ้าฟ้าหญิง กรมหลวงเทพยวดี ไม่มีพระโอรสพระธิดาจะสืบวงศ์สกุล เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว จึงเท่ากับขาด
ทายาทที่จะรับเป็นพระภาระสืบต่ออย่างแข็งขัน จึงตกเป็นภาระของเจ้าอาวาสแต่ละองค์ คอยชักชวนแนะนำ พระเณร
ทายกทายิกาให้ช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์กันเป็นส่วนใหญ่ ตกลงว่าวัดภคินีนาถ คงจะขึ้นๆ ลงๆ ไปตามความสามารถ
และความเอาใจใส่ของเจ้าอาวาสแต่ละองค์ สรุปได้ว่า วัดภคินีนาถ วรวิหาร สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมหลวงเทพยวดี
ทรงสถาปนาแน่นอน สำหรับผู้ปฏิสังขรณ์ตามที่กล่าวมาแล้วถือว่า เป็นไปในรัชกาลที่ ๑ ที่ ๒ และรัชกาลที่ ๓ส่วนที่จะกล่าวต่อไป
จะเริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ และก็คงกล่าวเพียงย่อ ๆ
รัชกาลที่ ๔
ในสมัย พระประสิทธิสุตคุณ (นาค) เป็นเจ้าอาวาส ได้บูรณปฏิสังขรณ์ ดังนี้
๑. แปลงตำหนัก (หอสวดมนต์) เป็นกุฏิธรรมดา ให้เป็นที่พำนักอาศัยของพระสงฆ์
๒.เจ้าจอมมารดาห่วงในรัชกาลที่๔ได้ปฏิสังขรณ์พระวิหารจนอยู่ในสภาพเรียบร้อยต่อมาในสมัย พระวิสุทธิสมาจาร
(ฉัตร)เป็นเจ้าอาวส ได้ปฏิสังขรณ์มุขพระระเบียงพระอุโบสถด้านหน้าให้มีสภาพดีขึ้น ด้วยของเก่าที่เริ่มชำรุด
รัชกาลที่ ๕
ในสมัย พระครูวิสุทธิสังวร (ผ่อง) เป็นเจ้าอาวาส ได้ก่อสร้าง และปฏิสังขรณ์ ดังนี้
๑. รื้อการเปรียญหลังเก่า ไม่ทราบแน่ว่าสร้างในสมัยใด ปลูกอยู่ด้านเหนือขนานเป็นแนว กับกุฏิตำหนักแล้วสร้างขึ้นใหม่เยื้องไปด้านทิศตะวันออกตามพื้นดินที่งอก ยาว ๕ ห้อง กว้าง ๓ ห้อง มุงกระเบื้องดินทราย และสร้างศาลาขวางทางด้านทิศตะวันออกและด้านทิศตะวันตกรวม ๓ หลัง ศาลาการเปรียญหลังนี้ ขณะนี้อยู่ในสภาพทรุดโทรมมากเพราะถูกน้ำเซาะ
๒. โรงเรียนหนังสือไทย ยาว ๑๐ วาเศษ มุงกระเบื้องซีเมนต์ฝากรุด้วยไม้กระดานตะแบกรื้อหมดแล้ว
๓. ซ่อมศาลาเก๋งคู่ใหญ่ หน้าพระอุโบสถ เปลี่ยนหลังคามุงกระเบื้องซีเมนต์ทั้ง ๒ หลัง
๔. สร้างถนนแถวข้างกุฏิ สูง ๑ ศอก ยาว ๒ เส้น
๕. โรงเรียนพระปริยัติธรรม อยู่ระหว่างกุฏิ กว้าง ๓ วา ยาว ๖ วา มุงกระเบื้องซีเมนต์เรียกในสมัยต่อมาว่า “หอฉันพระ” รื้อหมดแล้ว
๖. พระภิกษุเภา ปฏิสังขรณ์สระหลังพระวิหาร ก่ออิฐถือปูนตั้งแต่เชิงเขื่อนด้านบน