อานิสงส์การเจริญพระกรรมฐาน

ผู้ถาม คำว่าสมถกรรมฐาน กับวิปัสสนากรรมฐาน มีความแตกต่างกันอย่างไรครับ.?
หลวงพ่อ  สมถะ นี่เป็นจุดเริ่มต้นทำจิตให้เป็นสมาธิ ท่านมีความหมายว่า ทำจิตให้สงบจากนิวรณ์ ๕ สำหรับวิปัสสนา เป็นการใช้ปัญญาพิจารณาร่างกายเพื่อตัดกิเลศ มันต่างกันตรงนี้
การทำจิตให้เป็นสมาธิ ก็เพื่อไม่ให้จิตวุ่นวาย เมื่อจิตไม่วุ่นวายแล้ว ก็ใช้ปัญญาพิจารณา คือยอมรับนับถือกฏของความเป็นจริง เกิดมาแล้วมันต้องแก่ เมื่อทรงชีวิตอยู่มันก็ป่วยไข้ไม่สบาย มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ เมื่อมีชีวิตอยู่ต้องมีการนินทาสรรเสริญกระทบกระทั่ง และในที่สุดเราก็ตาย นี่เป็นของธรรมดา ถ้าอาการอย่างนี้มันเกิดขึ้นกับเรา เราจะไม่หวั่นไหวในอารมณ์ ถือว่ามันเป็นธรรมดาของการเกิด
ผู้ถาม สมถะนี่ตัดกิเลสได้ไหมครับ.....?
หลวงพ่อ  ยังตัดกิเลสไม่ได้ แต่ว่าระงับได้
ผู้ถาม มันแตกต่างกันอย่างไรครับ......?
หลวงพ่อ  คำว่าระงับ ก็เปรียบเหมือนกับเรามีสัตว์ร้ายอยู่ตัวหนึ่ง ถ้ามันจะกัดเรา วิธีระงับก็คือ จับมันมัดหรือกดมันไว้ ไม่ให้ทำร้าย ส่วนคำว่าตัด หรือ วิปัสสนาญาณนั้น ก็หมายถึง ฆ่าสัตว์ร้ายนั้นไม่ให้มีฤทธิ์ต่อไป เข้าใจไหม..........?
ผู้ถาม ครับ ทีนี้กระผมได้ยินมาจากคุยกันกับพวกนักปฏิบัติ นักสมถะบอกว่าสมถะก็ตัดกิเลสได้ ปัญญาไม่เกี่ยว ส่วนพวกเจริญวิปัสสนาญาณนั้นบอกว่า วิปัสสนาญาณเป็นส่วนที่ตัดกิเลสได้ 
สมถะไม่เกี่ยว ไม่จำเป็นจะต้องเจริญสมถะก็ได้ เลยไม่รู้ว่าความเห็นของฝ่ายไหนที่ถูก
หลวงพ่อ  ก็เป็นไปตามความเห็นของเขา อาตมาเคยคุยมาหลายราย มีอยู่รายหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รถไฟ ท่านบอกว่า สมัยก่อนผมเจริญสมถะ จนกระทั่งมีจิตสงบมาก แต่มาตอนหลังเห็นว่าไม่เป็นการตัดกิเลสได้ เลยเจริญวิปัสสนาอย่างเดียวก็เลยบอกถับท่านว่า ถึงแม้จะเจริญวิปัสสนาอย่างเดียว ก็ต้องมีสมถะร่วมด้วย คืออันดับแรก จะต้องมีจิตเรียบร้อยในด้านศีล และประการที่สอง เวลาที่ใช้ปัญญาพิจารณาเพื่อการตัดกิเลศนี่นะเวลานั้น อารมณ์อื่นไม่เข้ามารบกวน ไอ้ตัวที่อารมณ์ไม่เข้ามารบกวนหรือไอ้ตัวที่สงบจากอารมณ์อื่น มันเป็นสมถหรือท่านเรียกว่า สมาธิซึ่งมันมีอยู่ในตัวอยู่แล้ว ท่านจึงเข้าใจ
ผู้ถาม ก็เป็นอันว่าทั้งสองอย่าง จะต้องร่วมกันแยกกันไม่ได้ใช่ไหมครับ.........?
หลวงพ่อ  ใช่ ถ้าจะเจริญวิปัสสนาญาณอย่างเดียว แต่ขาดสมถะก็ไปไม่รอด ท่านเปรียบไว้แบบนี้นะว่าสมถะ นี่ก็เหมือนกับคนที่เพาะกำลังกายให้แข็งแรง ส่วนวิปัสสนาญาณ ก็เหมือนกับอาวุธที่คมกล้า ถ้าคนไม่มีแรงหยิบอาวุธ จะฆ่าข้าศึกได้ไหม............?
ผู้ถาม ไม่ได้แน่ ๆ ครับ
หลวงพ่อ  เพราะฉะนั้น ทั้งสมถะและวิปัสสนา ๒ อย่างนี้จะต้องคู่กัน นี่เป็นแบบของพระพุทธเจ้านะ
ผู้ถาม การเจริญสมถะก็ดี เจริญวิปัสสนาญาณก็ดี จะต้องปฏิบัติในเรื่องศีลไหมครับ...?
หลวงพ่อ  คือการทำสมถะ หรือสมาธิก็ดี วิปัสสนาก็ดี ทั้งหมดนี้จะต้องประกอบด้วยเหตุ ๓ ประการร่วมกันคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์จิตก็ไม่เป็นสมาธิ ถ้าศีลบริสุทธิ์แล้วจิตจึงเกิดสมาธิ เมื่อจิตสงบจากอารมณ์ต่าง ๆ ปัญญา มันจึงจะเกิดมันต้องร่วมกัน ๓ อย่าง
ผู้ถาม หลวงพ่อครับ การนั่งวิปัสสนากรรมฐาน บางคนก็ว่าพุทโธ บางคนก็ สัมมาอรหัง บางคนก็ว่า เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ฯลฯ จะเอาอย่างไหนเป็นที่แน่นอนครับ.....?"
หลวงพ่อ  แน่นอนทุกอันนะโยม ใช้ได้หมดไม่ผิดหรอก ยังมีมากกว่านี้ สุดแล้วแต่เขาจะใช้เพื่อความเหมาะสม
ผู้ถาม บางคนก็บอกว่า ภาวนาแบบนี้ถูก แบบนั้นไม่ถูก
หลวงพ่อ  การศึกษาพระกรรมฐาน ถ้าศึกษาไม่ครบ ๔๐ อย่าง พอเขาทำไม่เหมือนตัว ก็หาว่าเขาผิด มันก็ใช้อะไรไม่ได้เลย จะต้องศึกษา ถ้าอย่างเป็นลูกศิษย์ก็ไม่เป็นไร ทีนี้อย่างพวกครูซิ ถ้าครูศึกษาไม่ครบ ๔๐ อย่าง ก็นั่งเถียงกันอยู่นั่นแหละ ถ้าศึกษาครบ ๔๐ อย่าง ก็ไม่มีอะไรจะเถียงกัน 

คำภาวนานี่มันไม่แน่นอน เอาอะไรก็ได้ มันสำคัญที่อารมณ์ตั้งใจ จะใช้อะไรก็ได้ อย่าง พุทธานุสสติ มีคำภาวนาตั้งเยอะแยะอิติปิโส บทต้นทั้งหมดนั่นแหละ ว่าไป ไม่ใช่ใช้คำว่าพุทโธอย่างเดียว อะไรที่ปรารภพระพุทธเจ้าใช้ได้เลย อย่างธรรมานุสสติ ไม่ใช่ภาวนาว่าธัมโม อย่างเดียว อะไรที่ปรารภพระธรรมก็ใช้ได้ และอย่างสังฆานุสสติ ก็ไม่ใช่ภาวนาว่าสังโฆ อย่างเดียว นี่มันต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ แกภาวนาไม่เหมือนข้า ของแกสู้เข้าไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปไหนกันละ มันเป็น มานะ มานะตัวเลวเสียด้วย ไอ้มานะกิเลสตัวเลวนี่ มันดึงไปไหนไม่ได้เลย 

ในอุทุมพริกสูตร คนที่จะเจริญพระกรรมฐาน ทำจิตเพื่อละกิเลส พระพุทธเจ้าท่านให้ทำจิตเบื้องต้นอย่างไร จิตเบื้องต้น ท่านวางกฏไว้ประมาณ ๖๐ ข้อ ถ้าเราจะพิจารณากันจริง ๆ ก็มีอยู่ ๒ จุด 

๑. จงอย่าสนใจในจริยาของคนอื่น เขาจะดีเขาจะเลวเป็นเรื่องของเขา ดูว่าเราทำถูกไหม

๒. อย่าทำเพื่ออวดเขา เท่านี้เอง สรุปแล้วได้ ๒ อย่างแต่ท่านเรียงไว้ประมาณ ๖๐ กว่า ถ้าเราทำอารมณ์ได้เพียง ๒ อย่างเท่านี้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า 
มันเป็นสะเก็ดความดี ของท่านสอนเท่านั้นเอง

ทีนี้ถ้ายังนึกว่า เขาสู้เราไม่ได้ เราสู้เขาไม่ได้ ก็เลยไม่ถึงสะเก็ด อันนี้เป็นเรื่องจริง ๆท่านว่างไว้ตามเกณฑ์ เราอย่าคิดว่า ไอ้วัดนั้นสู้วัดเราไม่ได้ วัดเราสู้วัดเขาไม่ได้ เอาอะไรไปเป็นเครื่องวัด ถ้าอารมณ์ยังมีอย่างนี้อยู่ แสดงว่าจิตเลวมาก ถ้าจิตมันเลวจะดีอย่างไร

การปฎิบัติ อย่าชูงวงเข้าบ้าน คืออย่าโอ้อวดเขา อย่านั่งให้เขาเห็น การทำสมาธิเพื่ออวดคน นั่งปั๊บตรงนี้ คนเดินผ่านไปผ่านมามันจะได้เห็น นี่เป็นอุปกิเลส ไม่ได้อะไรเลย แทนที่จะได้นั่งไล่กิเลสได้ กลับนั่งดึงกิเลสเข้ามา ไอ้ตัวอวดน่ะมันเป็นกิเลสนี่อันนี้ท่านห้าม ถ้าหากรักษาความดีขนาดนี้ถือว่าเป็นสะเก็ดความดี ที่ท่านสอน

ส่วนเปลือก ท่านตรัสไว้ใน ยาม ๔ ท่านเทียบกับ ศีล ๕ คือ
๑.เราจะไม่ทำศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงบุคคลอื่นให้ทำลายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว

๒.เราจะต้องเป็นผู้ไม่ตกเป็นทาสของนิวรณ์ ๕ คือ 

-ไม่หลงรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ 

-ไม่มีอารมณ์ความโกรธ ความพยาบาท ในขณะปฏิบัติ
-ไม่ยอมให้จิตฟุ้งซ่าน และรำคาญเสียงภายนอก 

-ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในขณะปฏิบัติ 

-จะไม่สงสัยในผลการปฏิบัติ

๓. จิตจะต้องแผ่เมตตา คือมีความรักไปในจักรวาลทั้งปวง ถือว่าคนก็ดี สัตว์ก็ดี ทั้งโลก ไม่มีใครเป็นศัตรูกับเรา เขาจะประกาศเป็นศัตรูน่ะเรื่องของเขา แต่เราจะไม่เป็นศัตรูกับเขา

-เราจะไม่อิจฉาริษยาใคร เห็นคนอื่นได้ดี พลอยยินดีกับเขาด้วย ทำดีตามเขา ถ้าเหตุใดมันเกิดขึ้นกับเรา 

-ถ้าเหตุเกิดวิสัยที่เราจะช่วยได้ กับเราก็ดี กับบุคคลอื่นก็ดี เราจะวางเฉยไม่ทำให้จิตขึ้นลง

ถ้าทำได้ครบถ้วนแบบนี้ แสดงว่าเราเข้าถึงเปลือกความดี ที่ท่านสอน แค่นี้ก็เป็นการ ทรงฌาน อย่างเต็มที่แล้ว คือว่าละนิวรณ์ ๕ นิวรณ์ ๕ นี่เป็นศัตรูกับ ปฐมฌาน แล้วก็ตัวท้ายคือพรหมวิหาร ๔ ตัวนี้เป็นตัวเลี้ยงทั้งศีล สมาธิ ปัญญา เลยนะ มีความสำคัญมากอารมณ์ตอนนี้ ก็เป็นอารมณ์ทรงฌานปกติ ถ้าทำได้แบบนี้นะ

ต่อไปถ้าทำอย่างนี้แล้ว สามารถทำปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ให้เกิดขึ้น คือระลึกชาติได้ ตอนนี้ละเข้าถึงกระพี้ความดี ที่ท่านสอน และหลังจากนั้น สามารถทำ ทิพจักขุญาณ คือ จุตูปปาตญาณ ให้เกิดขึ้นพอเห็นหน้าคนปั๊บ ก็รู้ทันทีว่าคนนี้ก่อนเกิดมาจากไหน ได้ยินชื่อคนตายปั๊บ เรารู้ได้ทันทีว่าตายแล้วไปไหนอันนี้ เข้าถึงแก่นความดี ที่พระพุทธเจ้าต้องการ

ถ้าทำให้ได้ถึงขนาดนี้จนจิตคล่องดีแล้ว ถ้าฝึกวิปัสสนาญาณ ถ้ามีบารมีแก่กล้า คือมีกำลังใจเข้มข้น ก็จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ วัน ถ้ามี กำลังจิตปานกลาง จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ เดือนถ้าขี้เกียจที่สุด เป็นอรหันต์ภายใน ๗ 

ผู้ถาม ที่เขาว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ เล่าครับ?
หลวงพ่อ  อันนี้เป็นคำพังเพย นรกจริง ๆ มี สวรรค์ในอกนรกในใจใช้ได้ แต่ว่ามันยังไกลเกินไปนะ พูดแบบนั้นก็พูดแบบคนไม่เคยเห็นสวรรค์ ไม่เคยเห็นนรกก็ว่ากันไป แต่ว่าหลักสูตรในพระพุทธศาสนาเขามีนี่คุณ พระพุทธเจ้าทรงวางหลักสูตรไว้ให้หมดนะ เราจะไปสวรรค์ไปนรกได้ เราจะต้องปฏิบัติตัวแบบไหน เราจะไป นิพพาน เราจะปฏิบัติตัวแบบไหน อันนี้ในพระพุทธศาสนามีหลักสูตรสอนไว้โดยเฉพาะเลยคุณ ฉะนั้น จึงถือว่าเป็นหลักสูตรพิเศษ
ผู้ถาม หลักสูตรที่หลวงพ่อว่ามีอะไรบ้างครับ?
หลวงพ่อ  หลักสูตรในพระพุทธศาสนา มี ๔ อย่างคือ
๑. สุกขวิปัสสโก ๓. ฉฬภิญโญ
๒. เตวิชชโช ๔. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

ทีนี้โดยมากที่พวกคุณฟังกันมานี่ พวกนี้เขาไม่ได้ปฏิบัติ แม้ถึงขั้นสุกขวิปัสสโก คนที่เขียนตำราก็เขียนส่งเดช สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ อันนี้ตีความหมายว่าถ้าใจเป็นสุขก็เป็นสวรรค์ ถ้าใจเป็นทุกข์ก็เป็นนรก อันนี้มันได้หรอก แต่มันไม่ถูกกับความเป็นจริงนะ

ผู้ถาม สำหรับประเภทสุกขวิปัสสโก กับเตวิชโช แตกต่างกันอย่างไรครับ?
หลวงพ่อ  ประเภทสุกขวิปัสสโกนี่ ไม่รู้อะไรหรอกคุณได้แต่สมาธิเฉย ๆ มีจิตเป็นสุข จิตมีกำลังตัดกิเลสได้ สำหรับวิชชาสาม หรือ เตวิชโช สามารถรู้ได้ เพราะว่าการปฏิบัติขั้นวิชชาสามมี ญาณ ๘ อย่าง คือ

๑. ทิพจักขุญาณ สามารถเห็นผี เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้

๒. จุตูปปาตญาณ เราจะรู้ว่า คนที่เกิดมานี่ ก่อนจะเกิดนั้นมาจากไหน และเวลาตายแล้วไปไหน

๓. เจโตปริยญาณ สามารถจะเห็นจิตของคนได้ คนไหนจิตดี คนไหนจิตเลว

๔. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เราสามารถระลึกชาติได้โดยไม่จำกัด

๕. อตีตังสญาณ เราจะรู้เรื่องราวในอดีตได้

๖. อนาคตังสญาณ รู้เรื่องราวในอนาคตได้

๗. ปัจจุปันนังสญาณ ปัจจุบันนี้ใครทำอะไรที่ไหน เรารู้ได้

๘. ยถากรรมมุตาญาณ คนที่เขามีความสุขความทุกข์ เขาอาศัยกรรมอะไรเป็นปัจจัยนี่ในด้านวิชาสาม รู้ได้ ๘ อย่างเท่านี้

สำหรับฉฬภิญโญ (อภิญญาหก) แสดงฤทธิ์ได้ มีหูเป็นทิพย์ มีตาเป็นทิพย์ ฯลฯ

ปฏิสัมภิทัปปัตโต มีความสามารถคลุมวิชชาสาม และอภิญญาหก มีความฉลาดกว่า

หมวดที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ไม่เหมือนกัน แต่วิธีปฏิบัติคล้ายคลึงกัน เอาใน กรรมฐานทั้ง ๔๐ มาแยกปฏิบัติเป็นหมวดหมู่

ทีนี้สำหรับการปฏิบัติ ถ้าจะถามว่าอย่างไหนเข้าถึงมรรคผลง่ายกว่ากัน ก็ต้องเป็นไปตามอัธยาศัยของคน

สำหรับสุกขวิปัสสโก พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับผู้ที่ต้องการเรียบ ๆ ไม่ต้องการฤทธิ์เดช ทำแบบสบาย ๆ จิตใจไม่ชอบจุกจิก

สำหรับเตวิชโช นั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับคนที่อยากรู้อยากเห็น ถ้ามีสิ่งปิดบังลี้ลับอยู่ ทนไม่ไหว ต้องหาให้พบ ค้นให้เห็น

สำหรับฉฬภิญโญ นั้น สำหรับคนที่ต้องการมีฤทธิ์เดช พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนไว้

สำหรับปฏิสัมภิทาญาณ หรือปฏิสัมภิทัปปัตโต ท่านมีทั้งฤทธิ์ด้วย มีทั้งความเป็นทิพย์ของจิตด้วยมีความฉลาดด้วย สอนไว้เพื่อให้คนที่ต้องการรอบรู้ทุกอย่าง

ฉะนั้นการที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จึงเป็นไปตามอัธยาศัยของคน

ผู้ถาม กระผมอยากทราบว่า พระโสดาบัน กับ พระอรหันต์ นั้น เขาใช้ เครื่องวัด อย่างไรครับ?
หลวงพ่อ  เขาใช้ หลักกิโลเมตร เป็นเครื่องวัด
ผู้ถาม (หัวเราะ)
หลวงพ่อ  อ้าว...จริง ๆ คือว่า การปฏิบัติให้เป็นพระอริยะคือ ตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอรหันต์นี่นะ ถ้าเข้าถึงพระโสดาบัน  ถ้าถึงพระอรหันต์ก็ ยาว ๑๐ กิโลเมตร เอ๊ะ..แย่ไหม คุณถามเครื่องวัดนี่ แต่ว่าเครื่องวัดในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะเอาเชือกไปวัด หรือว่าเอาอะไรเข้าไปวัด ต้องวัดด้วยคุณธรรมที่ละ

เครื่องวัดมีอย่างนี้ คือว่า พระโสดาบัน กับ พระสกิทาคามีตะต้องละความชั่ว ๓ อย่าง คือสักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส

สำหรับสักกายทิฐิ พระโสดาบันกับพระสกิทาคามี จะมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอว่า เราเกิดมาเพื่อตายจะไม่มีความประมาทในชีวิต จะคิดทำความดีอยู่เสมอ

วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า โดยใช้ปัญญาพิจารณา

และประการที่ ๓ มีศีล ๕ บริสุทธิ์ นี่เขาเรียกว่า พระโสดาบัน และ พระสกิทาคามี 

สำหรับพระอรหันต์ ต้องละกิเลส ๑๐ ข้อ คือต่อไปอีก ๗ ข้อ ได้แก่
ละกามราคะ คือ ไม่ยินดีใน รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ
ละปฏิฆะ คือไม่มีความโกรธ ไม่มีความพยาบาท
ละอรูปราคะ ไม่ติดอยู่ในอรูปฌาณ
ละมานะ ไม่ถือตัวถือตน
ละอุทธัจจะ ไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน
ละอวิชชา ตัดความโง่ทิ้งไปให้หมด
รวมเป็น ๑๐ อย่าง ถ้าตัดได้ทั้ง ๑๐ อย่างนี้ เป็น พระอรหันต์ นี่เป็นเครื่องวัด

ผู้ถาม อาจารย์บางคนเขาว่านิพพานสูญ หมายถึงไม่มีแม้แต่สวรรค์ก็ไม่มี นรกก็ไม่มี
หลวงพ่อ  ไอ้นั่นของเขาว่า เราไปตามทางของพระพุทธเจ้าดีกว่า เขาจะเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าเขาจะเป็นจาน เป็นกาละมังก็ช่างเขาเถอะ ใช่ไหม ในพระไตรปิฎก ก็ไม่มีคำว่านิพพานสูญ บทพิสูจน์มีก็ไม่เรียนกัน

นิพพานนี่ไม่สูญ แต่คนที่จะไปนิพพานได้ กิเลสต้องสูญ เขาไม่ได้บอกนิพพานสูญ เขาแปลไม่หมดทุกตัว คำว่าสูญ เขาแปลว่า ว่าง นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง 
หมายความว่า คนที่จิตว่างจากความชั่วทั้งหมด จึงจะเห็นนิพพานได้ ในเวลานั้นนะแต่คนที่จะไปอยู่ในนิพพานได้ ต้องไม่มีความชั่วอยู่ในจิตเลย ที่เขาเรียกว่ากิเลส นั่นแหละ กิเลสคือความชั่ว มันตัวเดียวกัน

 

 

 

 

 

 

Free Web Hosting