บุญพระกรรมฐาน

เมื่อปี 2504 อาตมาไปเทศน์ที่อำเภอสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท มีตาอะไรหรือ อีตานี่เมื่อก่อนมาอยู่กรุงเทพฯ ขึ้นไปแกก็มาเฝ้าอยู่ตลอด ถ้ายังไม่กลับเพียงใดแกก็ยังไม่กลับบ้าน ให้ลูกสาวเอาข้าวต้มมาถวายเช้า ตอนเพลเอาข้าวมาถวาย ตัวแกเองต้องมาอยู่ตลอดเวลา

พอแกตายไปแล้ว ลูกสาวก็มาหาที่กรุงเทพฯ บอกว่าอยากทำศพพ่อและบวชน้องชายในวันเดียวกัน อยากจะให้หลวงน้าเป็นประธาน ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี่ก็แล้วกัน ข้าเป็นประธานก็ได้ แต่ว่าถ้างานเอ็งจะมีบาปแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้นะ แม้แต่ไข่ลูกหนึ่งก็ห้ามทุบ ถึงเขาบอกว่าไข่ไม่มีตัวก็ไม่ได้ ใจมันไม่สบายประการที่ 2 เวลาจัดงานศพ ควรตั้งคนรับรองแขกให้แทนตัวเอง ใจจะได้ไม่กังวล เวลาพระให้ศีลต้องรับศีลให้จบและตั้งใจรับศีลด้วยความเคารพ เวลาถวายทานก็เหมือนกันให้ตั้งใจถวายทานด้วยความเคารพ เวลาพระเทศน์ฟังเทศน์ด้วนความเคารพและอย่าให้มีสุรายาเมาเข้ามาเจือปนประการที่ 3 มหรสพอย่ามีแม้แต่ปี่พาทย์ จงอย่ามีปี่พากย์กลองยาว มันกินเหล้ากันแก่ก็เอาตามนั้นจริงๆ งานเรียบร้อย ตอนเช้าบวชน้องชาย ตอนสายก็ชักศพขึ้นศาลา ตอนเพลเลี้ยงพระตั้ง 30 กว่าองค์ มันเลยสังฆทานไปแล้ว และก็เป็นสังฆทานเต็มอัตรา ถวายผ้าสบง ผ้าไตรจีวร เขาให้ประธานด้วย แต่ว่าเทศน์ 2 องค์ กับเจ้าคุณภาวณาภิรามเถระฯเจ้าคุณภาวนานี้แกเป็นคนพูดยาว พอเราว่าอารัมภบทไปแล้ว 10 นาที แกไปว่าเดินเรื่องต่อเกือบชั่วโมงและเราก็รำคาญ ความจริงไม่รำคาญอยากว่าก็ว่าไป เวลาเขาว่าไปเราทำใจให้สบาย จิตเป็นสมาธิ ก็เลยนึกขึ้นได้ถึงตากิ่ม เอะ..ตากิ่มมันไปไหน มองแล้วไม่เห็นมา มองดูรอบๆ พวกผีเปรตมายืนรอบศาลาไปหมดเป็นแสนเราสงสัยตากิ่มจะเป็นอันตราย ปกติเรามาแกก็ทำบุญเต็มอัตรามาเฝ้าอยู่ตลอด อาหารก็ถวายเช้าถวายเพล เหล้ายาปลาปิ้งแกก็ไม่กิน เราไม่รู้จักอดีตของแก ปัจจุบันเขาดี แก่ก็ดีมาประมาณ 10 ปี ไม่ใช่เบาหรอกไปย้อนถามประวัติเก่าน่าดู เรียกว่าโจรกลับใจก็แล้วกัน ที่นี้ยังมองดูไม่เห็น องค์นั้นก็ยังเทศน์ไม่จบ ก็นึกถึงท้าวมหาราช ถามว่า"เวลานี้นายกิ่มอยู่ที่ไหน ถ้าอยู่ในช่วงเสวยทุกข์เวทนาอยู่ ขออนุญาติครู่หนึ่ง เวลานี้เขาทำบุญใหญ่ให้นำมา"ถ้าเราไปเรียกเขาเฉยๆ ไม่ได้ เราไม่มีสิทธิเลย ท้าวมหาราชเลยใช้ลูกน้อง 2 ท่านไปบอกเจ้าหน้าที่แล้วจึงนำมา ตอนนำมาแกไม่ได้เดินนำมาจูงโซ่สองข้างคนละเส้น นายกิ่มมากลาง หน้าตาเศร้ามีความทุกข์ มานั่งข้างธรรมาสน์ เรียกอย่าไรก็ไม่เงย นั่งเฉยจึงถามท่านที่คุมมา 2 ท่านว่า "ทำไมเป็นอย่างนี้" เขาบอกว่า "กรรมมันหนักครับ" ถามว่า "คนนี้เขาตัดสินแล้วหรือยังล่ะ?" "ยังครับ ยังรอการตัดสินอยู่"ถ้าตัดสินแล้วเราไม่มีสิทธิเหมือนกัน ถ้าลงขุมไปแล้วไม่มีสิทธิ์ รอการตัดสินนะในเมืองนั้น 50 ปีของเรา เป็น 1 วันของเขา แกตายไปไม่นานที่จะตัดสินเดิมแกชั่วจริง แต่ปลายมือแกดี ชั่วกับดีมันก้ำกึ่งกัน จะลงนรกเลยทีเดียวหรือขึ้นสวรรค์เลยทีเดียวก็ไม่ได้ ต้องสอบสวนก่อนท่านที่คุมมาสองท่านมาถามว่า "วันนี้ลูกสาวทำอะไรบ้าง" ก็เลยบอกว่า "วันนี้บวชน้องชาย ถวายสังฆทาน เลี้ยงพระ บังสกุลเสร็จเรียบร้อย บุญใหญ่ทั้งหมด ทำไมจึงโมทนาไม่ได้" เขาตอบว่า "ไม่มีสิทธิโมทนา กรรมหนัก" จึงถามเขาว่า "บุญอะไรล่ะเขาถึงจะได้"เขาชี้มาที่ฉัน เขาบอกว่า "บุญพระกรรมฐานของท่านช่วยได้" งั้นก็ดีเลย ไม่ต้องลงทุน ถามว่า "บุญที่เขาทำมาก่อนกับบุญเวลานี้จะรวมตัวหรือไม่?"ก็เลยตั้งใจอธิษฐานว่า "เอา....นายกิ่มตั้งใจฟัง บุญใดที่ฉันเคยบำเพ็ญมาแล้วตั้งแค่ต้นชาติจนกระทั้งปัจจุบันนี้ ผลบุญทั้งหมดที่ฉันทำมา จะให้ประโยชน์แก่ฉันเพียงใด ขอเธอจงโมทนารับผลบุญเช่นเดียวกับฉันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"พอเท่านี้โซ่หลุดเลย ไม่ได้ปลด โซ่มันหลุดเองคลายจากคอเลย แกก้มกราบ พอกราบครั้งที่ 3 ลุกขึ้นมาสวยอร่ามเป็นเทวดา มีความสวยผิดปกติ เพราะบุญที่ลูกทำกับบุญเก่าอันก่อนมันเข้ามารวมตัวกัน พอได้บุญอย่างใดอย่างหนึ่ง บุญก็รวมตัวกันหมด แล้วอีตา 2 คน เห็นตากิ่มแกสบาย ก็บอกว่า "ท่านครับผมก็อยากได้เหมือนกัน" "เอ้า...แกเป็นผู้คุมเขานี่หว่า แกสบายแล้ว" "ผมไม่สบายหรอกครับ ต้องทำงานไม่มีวันหยุดเหน็ดเหนื่อยเรื่อยๆ""พระยายมไม่เล่นงานข้าหรือ...?" เขาตอบ "ไม่หรอกครับ ผมมีสิทธิครับ"ถ้ามีสิทธิก็เอา ตั้งใจอนุโมทนา แกเป็นเทวดาบ้าง อาตมาไม่ได้ลงทุนอะไร ก็ตั้งจิตอธิษฐานแบบเดียวกันกับที่ให้นายกิ่มผลที่สุดตากิ่มก็ไปจับลูก ทักคนโน้นคนนี้ จับคอ เขย่าไม่มีใครเขาเหลียวดูหรอก แกเป็นผีจับเขาไม่รู้เรื่อง

นี่เป็นอันว่า อานิสงส์แห่งการเจริญพระกรรมฐาน ถ้าเราทำบุญให้แก่คนตาย อันนี้มีประโยชน์มาก ประโยชน์ที่จะได้แก่คนตายก็หมายถึงว่า ประโยชน์นั้นมันจะต้องถึงเราก่อน ไม่ใช่คนตายจะมีโอกาสมาโมทนาเฉยๆ เราต้องเป็นผู้ให้เขาจึงจะได้รับ นี่แหละเรื่องของบุญ....

 

 

 

 

 

 

Free Web Hosting