อานิสงส์ถวายเครื่องดนตร

หลวงพ่อ  ท่านมาลาภารีเทพบุตร ท่านอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ วันหนึ่งท่านพาบริวารของท่านพร้อมด้วยภรรยา ไปเที่ยวสวนนันทวันพอไปถึงสวนนันทวันก็ปรากฏว่า ภรรยาของท่านหมดอายุพอดี ก็จุติ “จุติ” เขาแปลว่า เคลื่อน เทวดาไม่เรียกว่าตายนะ ตามศัพท์พระบาลีบอกว่า “กาลัง กัตวา” ถึงวาระจะต้องไปไม่ใช่ “มรณัง”

เธอกำลังไปชมสวนร่วมกับนางฟ้าต่าง ๆ ถึงเวลาจุติเธอก็จุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ถึงวาระที่จะแต่งงานเธอก็แต่งงาน มีลูก ๔ คน ต่อไปเมื่ออายุได้ ๕๐ ปีหน่อย ก็พบพระพุทธเจ้า ฟังเทศน์แล้วปฏิบัติธรรม เกิดระลึกชาติได้ว่าก่อนที่เราจะมาเกิดเป็นคนเราเป็นภรรยาของมาลาภารีเทพบุตร บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และรู้ด้วยว่าจุติระหว่างเดินอยู่ในสวนนันทวัน ทีหลังเวลาทำบุญ ทำทานก็ตั้งใจอธิษฐานว่า “ถ้าข้าพเจ้าตายจากภพนี้ไปแล้วขอเกิดในสำนักของสามี”

ต่อมาก็ไปอยู่วัดช่วยพระตั้งน้ำใช้น้ำฉัน ทุกวันก็อธิษฐานพูดดัง ๆ ว่า “ข้าพเจ้าตายเมื่อไรขอให้ไปเกิดในสำนักของสามี” แล้วเมื่ออายุ ๕๐ ปีเศษนั่นแหละ เธอก็ตาย ตายแล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ระหว่างนั้นสามียังไม่เข้าวิมาน ๕๐ ปีเศษนะยังชมสวนกันอยู่ พอขึ้นไปแล้วก็เป็นนางฟ้าตามเดิมก็ไปหาสามี สามีก็ถามว่า

“ตั้งแต่เข้าถึงเที่ยงเธอหายไปไหนมานะ “ เพราะบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี่ ๑๐๐ ปีเป็น ๑วันของเขา

แกก็บอกว่า “ฉันจุติแล้วไปเกิดในเมืองมนุษย์”

สามีก็ถามว่า “เธอพูดเรื่องอะไร ล้อเล่นรึ”

“ฉันไม่ได้ล้อเล่น เป็นความจริง”

สามีถามว่า “เธอไปอยู่นานเท่าไร”

เธอบอกว่า “ ๕๐ ปีเศษ แต่งงานมีบุตร ๔ คน ก็ไปพบพระพุทธเจ้า ตั้งจิตอธิษฐานตายแล้วขอมาที่นี่”

ท่านสามีก็เลยถามว่า “มนุษย์มีอายุขัยเท่าไร”

เธอบอกว่า “ตอนนี้มนุษย์มีอายุขัย ๑๐๐ ปี”

ท่านก็ตอบว่า “มนุษย์ ๑๐๐ ปีก็เท่ากับ ๑ วันของเรา

ถามว่า “ประมาท”

ท่านรู้อย่างนี้แล้วก็มีความสลดใจ แล้วก็พากันเดินกลับวิมาน ท่านมาลาภารีเทพบุตรนี่ เกิดมากี่ชาติก็มีดนตรีเป็นเครื่องประกอบ เป็นเทวดาไม่ว่าจะไปไหนก็ตามก็ต้องมีเครื่องขับประโคมวันหนึ่งขึ้นไปถามท่านว่า

“ทำไมไปไหนจึงมีเสียงดนตรีเสมอ.?”

ท่านบอกว่า “ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ผมเคยถวายเสียงดนตรีในพระศาสนา”

นี่พวกที่ถวายเครื่องดนตรี เกิดชาติต่อไปมีดนตรีประโคมเรื่อย ถวายเครื่องมอญก็ได้ยินเท่งทึ๋ง ๆ นี่เรื่องของท่านมาลาภาร

 

 

 

 

 

 

Free Web Hosting