อานิสงส์การอุปสมบทบรรพชา
ผู้ถาม | ดิฉันขอเรียนถามว่า การอุปสมบทบรรพชา มีอานิสงส์อย่างไรบ้างคะ......? | ||||||
หลวงพ่อ | การอุปสมบทบรรพชานี้ มีอานิสงส์พิเศษ ผิดกับอานิสงส์อย่างอื่น เช่น การสร้างวิหารทานก็ดี การถวายสังฆทานก็ดี การทอดผ้าป่า ทอดกฐินก็ดี อานิสงส์อย่างนี้บุคคลที่จะพึงได้ต้องโมทนาก่อน | ||||||
ผู้ถาม | หลวงพ่อช่วยกรุณาอธิบายเพิ่มเติมอีกหน่อยเถิดค่ะ | ||||||
หลวงพ่อ | หมายความว่า
ถ้าบุตรธิดาของตนบำเพ็ญกุศบให้แก่บิดามารดา
แต่บิดามารดาไม่ได้โมทนาในกุศลนั้น ย่อมไม่ได้
แต่ว่าการอุปสมบทบรรพชานี้แปลกกว่านั้น
องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาทรงแสดงไว้ว่า
สมมุติว่า บุตรชายของท่านผู้ใดออกจากครรภ์มารดาวันนั้น บิดามารดาก็จากกัน ลูกกับพ่อ ลูกกับแม่ ย่อมไม่รู้จักกัน เวลาที่บุตรชายอุปสมบทบรรพชา บิดามารดาก็ไม่ทราบ แต่ว่าบิดามารดาย่อมได้ อานิสงส์โดยสมบูรณ์ คำว่า อุปสมบท หมายความว่า บวชเป็นพระ
คำว่า บรรพชา หมายความว่า บวชเป็นเณร
ท่านที่บวชเป็นพระด้วยตนเอง จะมีอานิสงส์อยู่เป็น เทวดา หรือ
พรหม ๖๐ กัป สำหรับคนที่ไม่ใช่พ่อแม่ เป็นเจ้าภาพให้บวช จะได้อานิสงส์ คนละ ๑๒ กัป ต่อ ๑ องค์ สำหรับท่านที่ได้ทำบุญอุปสมบท ช่วยเขาคนละบาทสองบาท หรือช่วยกันด้วยกำลังแรงอย่างนี้ มีอานิสงส์ องค์ละ ๘ กัป สำหรับท่านผู้บวชเป็นเณร
บวชแล้วมีความประพฤติดีปฏิบัติชอบตามระบอบพระธรรมวินัย
เมื่อตายจากความเป็นคนถ้ามีจิตของคนเป็นกุศล
แต่ว่าไม่สามารถทรงจิตเป็นฌาณ | ||||||
ผู้ถาม | เวลา กัปหนึ่ง เขานับกันอย่างไรคะ......? | ||||||
หลวงพ่อ | คำว่า กัปหนึ่งนั้น
มีปริมาณนับเป็นปีไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบไว้ว่า
สมมติว่า มีภูเขาลูกหนึ่งเป็นหินล้วน
ไม่มีดินเจือปนถึงเวลา ๑๐๐ ปี เทวดาเอาผ้าเนื้ออ่อน เหมือนสำลี
มาปัดยอดเขานั้นครั้งหนึ่ง ทำอย่างนี้ ๑๐๐ ปี ปัด ๑ ครั้ง
จนกระทั่งหินนั้นหมดไป | ||||||
ผู้ถาม | ถ้าลูกชายมีภรรยาแล้ว จะได้อานิสงส์ ลดลงไหมคะ......? | ||||||
หลวงพ่อ | ที่เขาลือกันว่า ถ้าลูกไปมีเมียเสียก่อนแล้วไปบวช พ่อแม่ได้อานิสงส์น้อยนั้นไม่จริงหรอกโยม บุญของพ่อของแม่ลดกันไม่ได้ | ||||||
ผู้ถาม | ถ้าหากว่าบวชไม่ครบพรรษา จะบวช ๑ เดือน หรือ ๒ เดือน ได้ไหมคะ.....? | ||||||
หลวงพ่อ | จะบวช ๑ เดือน ๒ เดือน หรือ ๗
วัน ก็ได้ ถ้าหากปฏิบัติดี บวช ๒-๓ วันมันก็ดี ถ้าบวชเลว
นานเท่าไรก็ยิ่งลงอเวจีลึกเท่านั้น ก็ไม่มีความหมาย
การบวชพระพุทธเจ้าทรงวางแบบไว้ดี
แต่พระที่เขาถือว่ามีศักดิ์ศรีกลับปฏิบัติเลว เมื่อพระพุทธ
เจ้าทรงมอบอำนาจให้แก่สงฆ์ ทรงมีกฎไว้ว่า
คนที่จะบวชจะต้องอยู่ | ||||||
ผู้ถาม | เดี๋ยวนี้ไม่เห็นเขาเข้าวัดกันเลยค่ะ เวลาขานนาคพระคู่สวดก็สอนเสียทั้งหมด | ||||||
หลวงพ่อ | "ถ้าเป็นที่วัดฉัน ไม่ให้บวชเลย | ||||||
ผู้ถาม | คนเดี๋ยวนี้ต้องทำมาหากิน ถึงเวลาจะบวช ก็บวช ไปตามประเพณี ไม่ได้มีเวลาศึกษาระเบียบ วินัยข้อวัตรปฏิบัติเสียก่อน บวชอย่างนี้จะได้ไหมคะ........? | ||||||
หลวงพ่อ | ได้.....โยม ได้อเวจี
บวชวันแรกก็หมดจากความเป็นพระแล้ว พระไม่ได้อยู่ที่ผ้าเหลือง
และพระก็ไม่ได้อยู่ที่การโกนผม
คำว่า พระจริง ๆ อันดับแรก เป็นพระปลอมก่อน
ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า สมมติสงฆ์ นั่นก็คือ
พระที่ปฏิบัติตามวินัยครบถ้วนทุกสิกขาบท
พระพุทธเจ้ายังไม่เรียกพระนะ แล้วก็มาอีกระดับหนึ่ง ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามพระธรรมวินัย เขาเรียกว่า สาธุภิกขุ คือนักบวช ชั้นดี ถ้าได้ฌานสมาบัติเป็นฌานโลกีย์ ก็ยังเรียกว่าสมมติสงฆ์ ถือว่าเป็นกัลยาณชนจะเป็นพระจริง ๆ ได้ก็ต่อเมื่อ ท่านผู้นั้นเป็น พระโสดาบัน | ||||||
ผู้ถาม | การบวชให้อยู่วัดก่อนบวช คือการท่องบ่นสวดมนต์แล้วก็ปฏิบัติพระ ใช่ไหมคะ.......? | ||||||
หลวงพ่อ | การอยู่วัดก่อนบวช
เขาไม่ได้สวดมนต์เฉย ๆ เขาจะ ต้อง เจริญพระกรรมฐาน และต้องปฏิบัติ
ให้อารมณ์จิตดีด้วย คือ เข้าถึงธรรมพอไหม
ถ้าไม่พอไม่ให้บวช พระพุทธเจ้าทรงสั่งไว้แบบนี้นะถ้ารู้สึกว่ายาก ก็ตัดสินใจไม่ให้บวชเลยก็หมดเรื่อง ถ้าพิจารณาแล้วว่าควรจึงให้บวช ขึ้นชื่อว่าบวช
นี้มีความหมายมากเหลือเกิน ใครมีลูกชายก็อยากจะให้บวช
แต่ถ้าบวชแล้วไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัยก็น่า และอีกประการหนึ่งการจะบวชลูกหลานเข้าไว้ในพระพุทธศาสนา
ส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งใจจะเอาบุญ คือทำกันตามพระเพณีเป็นสำคัญ
พอเริ่มจัดงานก็มีการฆ่าไก่บ้าง ฆ่าปลาบ้าง ฆ่าหมูบ้าง ฆ่าวัว ฆ่าควายบ้าง
เอาสุราเมรัยมาเลี้ยงกันบ้าง ถ้าท่านทั้งหลายจัดการอุปสมบทบรรพชา หรือว่า
บำเพ็ญกุศลส่วนใดส่วนหนึ่งก็ดี
ทำกันตามประเพณีแบบนี้ "ถ้าจิตเป็นอกุศล กุศลใด ๆ ที่ตนคิดว่าจะทำ มันก็ไม่ปรากฏ" "ในการใด ถ้าเราจะบำเพ็ญกุศลบุญราศรีให้ปรากฏเป็นผลดีก็ขอให้การนั้นเป็นการที่บำเพ็ญ บุญกุศลจริง ๆ" ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง จงเว้นกรรมที่เป็นกุศลเสียให้หมด งดสิ่งที่เป็นกรรมชั่วทุกประการ อย่าให้ปรากฏมี เวลาเริ่มงานขึ้นมาสักที่ กรรมใดที่เป็นอกุศล เช่น การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็ดี การเลี้ยงสุรา ก็ดี อย่างนี้จงงดไว้ ตั้งใจเฉพาะบำเพ็ญกุศลอย่างนี้ จึงเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทีนี้สมมติว่าลูกหลายที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ยินดีในการปฏิบัติความดีในด้านพระธรรม วินัยยินดีในการเจริญพระกรรมฐาน เกิดความชุ่มชื่นในการปฏิบัตินั้น อานิสงส์ย่อมเกิดแก่ผู้นั้น องค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบไว้ว่า "ท่านผู้ใดก็ดี อุปสมบทบรรพชาเข้ามาแล้ว ในพระพุทธศาสนาวันหนึ่งทำจิตใจว่างจากกิเลส เพียงวันหนึ่งชั่วขณะจิตเดียว" นี่หมายความว่า วันหนึ่งมีเวลา ๒๔ ชั่วโมง เวลานอกนั้นจิตก็ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ต่าง ๆ แต่ว่า ตอนปฏิบัติพยายามควบคุมกำลังใจ ไม่พลั้งพลาดจากพระธรรมวินับหรือเวลาใดเวลาหนึ่งก็ตาม ในวันนั้นทำ สมาธิจิตให้เกิดขึ้น จะเป็นทรงอารมณ์สมาธิก็ตาม หรือจิตผ่องใสทางด้านวิปัสสนาญาณก็ตาม วันหนึ่งเพียงชั่ว ขณะจิตเดียว จิตโปร่งจริง ๆ ขณะนิดเดียว นาทีหนึ่งหรือสองนาทีก็ตาม แต่ว่าทำได้ทุกวัน ไม่จำกัดเวลา อย่าง นี้พระพุทธเจ้ากล่าว่า "ท่านผู้นั้นบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา แม้แต่เพียง
๑ วันก็ย่อมมีอานิสงส์ดีกว่าพระที่บวช เข้ามาในพระพุทธศาสนาตั้ง ๑๐๐ ปี
มีศีลบริสุทธิ์ไม่บกพร่อง แต่ก็ไม่ได้เคยเจริญสมาธิจิตเลย" ท่านบอกว่า
"อานิสงส์อันนี้ จะคูณด้วยกำลังของแสน" เพราะอาศัยอารมณ์ที่มีความชื่นบาน มีความผ่องใส มีความพอใจ
มีะรรมปิติ | ||||||
ผู้ถาม | ดิฉันมีลูกชายอยู่คนหนึ่ง ก็อยากจะให้บวช แต่เมื่อได้ฟังหลวงพ่อพูดถึงพระไปนรกกันเยอะ เลยคิดว่าไม่ต้องบวชก็ได้ เอาแค่เจริญกรรมฐานดีกว่า แต่อีกใจหนึ่งก็เสียดายที่ไม่ได้เป็นญาติ ของพระศาสนา | ||||||
หลวงพ่อ | โอ้ย.....อย่า อย่า
ถ้าไม่ได้บวชเป็นญาติของพระศาสนาง่ายกว่า ถ้าบวชเป็นญาติกับนรกง่าย"
"คำว่า บวช บวชนี่มันหนัก
พระพุทธเจ้าบอกว่า "บรรพชาเป็นของหนัก" พระโผล่ปุ๊บ เข้ามาแล้ว
อันดังแรก ศีล สมาธิ ปัญญา เริ่มต้นเลย จะไปรออีก ๓ วันน่ะ
มันไม่ได้ และอีกประการหนึ่ง พระนี่กินข้าวง่ายเมื่อไรล่ะ ต้องพิจารณา อาหาเรปฏิกูลสัญญา ก่อนจะเกิดนั้นมาจากไหน ไม่กินเพื่อติดในรส ติดในกลิ่น ติดในสี จะไม่กินเพื่อความอ้วนพี จะไม่กินเพื่อความ ผ่องใส จะกินเพื่อทรงชีวิตอยู่เท่านั้นเอง ต้องปฏิบัติตามนี้นะ | ||||||
ผู้ถาม | ถ้าพระทำแบบนี้กันมาก ๆ ก็ตกนรกเยอะซิคะ.... | ||||||
หลวงพ่อ | พระนี่ลงนรก ๙๙%
ท่านมีบุญมากกว่าฆราวาส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหารเรปฏิกูลสัญญา
สมภารก็ไม่รู้ อุปัชฌาย์ก็ไม่รู้ ลูกศิษย์รู้มากก็ซวย
ก็ลงด้วยกันทั้งนั้น
พระพุทธดำรัส พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
"ภิกษุผู้บริโภคอาหาร อันมีผู้ถวายด้วยความเลื่อใสแล้ว ไม่พิจารณาเสียก่อน
เมาในรสอาหารนั้น สู้กินก้อนเหล็กที่เขาเผาแดงจนลุกโชนเสียดีกว่า
เพราะกินถึงปากปากพัง ถึงคอก็คอพัง ถึงอกก็อกพัง ถึงท้องก็ท้องพัง
มันร้อนก็ตาย พอตาย แล้วก็เลิกร้อน
ส่วนภิกษุที่ฉันอาหารโดยไม่พิจารณาเป็นอาหารเรปฏิกูลสัญญาตายแล้วลงนรก และอีกประการหนึ่ง การแสดงอาบัติ เขาต้องบอกเหตุว่า เราทำอะไรมา ไม่ใช่ว่ากันตามภาษาบาลีเลอะไป จริงๆ แล้วในพุทธกาล เขาต้องบอกจุดที่เป็น คือ เราไปละเมิดอะไรมาบ้างบอกพระด้วยกัน ถ้าอยู่ในคณะสงฆ์ ต้องบอกในคณะสงส์ ที่ทำกันทั่วไป เป็นภาษาบาลีนี่มันไม่ถูก ถ้าไม่ถูก การเปลื้องอาบัติก็ไม่สมประสงค์ และก็ลงท้ายว่า
ทีนี้ เวลาที่เราแสดงอาบัติ ต้องตั้งใจจริงว่า ไอ้ความชั่วประเภทนี้ เราจะไม่ทำอีก แราจะไม่คิด อย่างนี้อาบัติที่เป็นมันจึงจะยับยั้ง การแสดงอาบัติ อย่าคิดว่าอาบัติหมดไปนะ แผลที่เป็นมันก็เป็นแผลตามเดิม ความชั่วแก้ไขไม่ได้ แต่ว่าเราไม่ทำ มันก็เป็นการยับยั้งความชั่ว ไม่กำเริบหรือมากกว่านั้น เราตั้งใจคิดว่า "เราจะไม่เป็นอาบัติดีกว่า" |