ก็ไม่ผิด ต้องหัวหกก้นขวิดกันไป เพื่อเจ้าใหม่ของตนซึ่งไม่รู้ฟังคำปฏิเสธและไม่รับฟังคำผัดเพี้ยน เคยได้ยินคำปรับทุกข์ของคนคนหนึ่ง ขอนำมาเล่า ณ ที่นี้ ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้จะสิ้นเดือน พ่อแต่งตัวจะไปทำงาน ลูกน้อยกำลังช่างพูดช่างเจรจา เข้ามาคลอเคลียอยู่ใกล้ ๆ พอเห็นพ่อขยับจะเดินออกจากห้องแต่งตัว ลูกน้อยก็แบมือพร้อมกับบัญชา
“พ่อจ๋า ขอตังค์หนูบ้างซิ”
พ่อตอบ  “ไม่มีดอกลูกปลายเดือนแล้ว”
แทนที่ลูกจะรับฟังคำนั้นโดยดุษณี ลูกกลับว่า
“ไม่มีเป็นพ่อได้หรือ”
ฟังดูเถอะ คารมของเจ้านายคมคายเล็กน้อยเสียเมื่อไร นี่จะไม่ว่าเป็นวัวละหรือ
ต่อจากนั้นพออายุขึ้น ๕๑ ปี คราวนี้พ้นปูนวัวแล้ว เพราะบางทีเจ้านายที่เคยขับ เคยต้อนมา รับช่วงเป็นวัวแทนไปบ้าง แต่ก็เข้าปูมอายุหมา เพราะนอนไม่ค่อยจะหลับ มักเป็นคนหูไว ปากไว ได้ยินเสียงอะไรกุกกักก็มักตื่นและพูดต่าง ๆ คอยระแวดระวังบ้านเรือน อะไรจะเปิดอะไรจะปิด
“ประตูหน้าต่างปิดหรือยัง รั้วรอบขอบชิดปิดกันแล้วหรือเจ้าฑิต”
เสียงบงการ เสียงเตือน ตลอดบ้านตลอดเรือน กว่าจะสงบลงไปเป็นที่เรียบร้อยต้องคอยตรวจตรา บางทีลูกหลานเผลอ ก็บ่น ก็ว่า
“ดูมันเถอะ หยาบกระไร ทำที่ไหนทิ้งที่นั่น ไม่รู้จักเก็บจักงำ”
บ่นเอ็ดไปให้พึม บางทีก็ถึงกับลูกหลานทนรำคาญไม่ไหว มักเอะอะเอาบ้างก็มี นี่จะเป็นการปรักปรำกันเกินไปละหรือ ที่จะเรียกอายุปูมนี้ว่าเป็นปูมหมา พฤติการณ์ต่าง ๆ นั้นผิดแผกกันตรงไหน
ต่อจากนั้นพออายุได้ ๗๑ ปี ตอนนี้ไม่ไหวแล้วร่างกายกะปลกกะเปลี้ย หูตาฝ้าฟาง ใครมาหา หรือพบกับใคร จะดูหน้าเขาให้ถนัดต้องยกมือขึ้นป้องหน้าแล้วยังไม่รู้จัก ต้องถามเขา บางคราวเห็นเด็กเป็นหนุ่มเป็นสาว แทนที่จะถามชื่อตัวเขาว่าชื่ออะไร กลับไปถามว่า   “เป็นลูกใคร”
ดังนี้เป็นต้น ถ้าเป็นคนเสมอกันผู้ถูกถามก็คงโกรธ แต่เพราะเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาไม่ถือสาหาความ กลับเห็นเป็นข้อขบขันไป สนุกไป ตลอดถึงบางคราวก็เป็นที่หัวเราะเฮฮาในหมู่ลูกหลาน ที่เห็นความกะป้ำกะเป๋อของคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายแล้ว และเอาเป็นเครื่องยั่วสำรวลกันสนุกสนานไป จะดุจะว่าจะด่าก็ไม่ไหว จะเฆี่ยนจะตีก็ไม่ได้ ไม่มีทางสู้หมดประตูเถียง อวัยวะร่างกายก็รวนเร ที่เคยคล่องก็กลายเป็นขัด ที่เคยว่องไวก็เชื่องช้า ทุกสิ่งล้วนเป็นเครื่องยั่วสำรวลแก่ลูกหลานได้ทั้งนั้น นี่แหละเข้าปูมอายุลิง ก็เป็นเช่นนั้น

กล่าวมาในเรื่องมูลค่าของคนข้างบนนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับต้นทุนของร่างกายและต้นทุนของอายุ ยังไม่ใช่ต้นทุนในทางทรัพย์ ทั้งนี้เพราะเรื่องต้นทุนในทางทรัพย์ซึ่งตีราคาของคนไว้นั้นได้กล่าว

มาแล้วว่ายากที่จะกำหนด เพราะไม่พบตำรับตำราว่าไว้ชัดเจนแห่งใด ที่เคยได้ทราบก็เห็นมีแต่ทางหมอดูและก็มักจะเป็นหมอดูฝ่ายจีนเรียกค่าดูตามต้นทุนของคนดู นัยว่าหมอรู้ว่าคนไหนต้นทุนเท่าไร ต้นทุนมาก หมอก็เรียกมาก ต้นทุนน้อย หมอก็เรียกน้อย บางคนต้นทุนน้อยนัก หมอดูดูให้เปล่า ๆ และบางคนดูแล้วหมอแถมเงินให้อีกเพราะต้นทุนน้อยที่สุด เรื่องนี้ก็ชอบกลดี แต่ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน มิใช่เป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปยากที่จะกำหนดลงไปได้ ร้อยคนก็ร้อยอย่าง สุดที่จะนำมาบรรยาย ตำราไทยเราก็ได้มีวิธีตรวจต้นทุนเหมือนกัน แต่จะแน่นอนหรือไม่เพียงไร ก็เป็นเรื่องยากที่จะทราบได้ ท่านผู้ใดต้องการทดลองดู ท่านให้ใช้นิ้วทั้ง ๕ เป็นหลัก คือนิ้วหัวแม่มือเป็น ชั่ง รองลงไปก็เป็นตำลึง บาท สลึง และไพตามลำดับ ตัดเฟื้องออก แล้วนับวัน เดือน ปี ไล่ไปตามนิ้วหัวแม่มือ คือจากชั่ง ไปหานิ้วก้อยซึ่งเป็นไพ ตกตำแหน่งไหนบ้าง ก็ว่านั่นแหละเป็นต้นทุน ถ้าเป็นคนเกิดปีชวด เดือนอ้าย วันอาทิตย์ ก็มีต้นทุน ๓ ชั่ง จะเท็จจริงอย่างไรก็ไม่มีทางสืบค้นได้
ในเรื่องต้นทุนของคนนี้ ยากจะค้นให้รู้แท้ ถึงจะมีผู้อ้างว่ารู้มาบอกเล่า เช่นหมอดูทำนาย หรือมีทางจะทายทักตนเองตามตำราที่ว่ามา ก็ยังไม่วายสงสัยอยู่นั่นเองเพราะเป็นเรื่องไม่รู้กันว่า แน่หรือไม่ แต่ได้ฟังนิยายเรื่องหนึ่ง กล่าวถึงต้นทุนของคน ๆ หนึ่ง ในนิยายนั้นยืนยันว่าแน่เพราะผู้ที่ทราบต้นทุนนั้นได้ไปพบเหตุการณ์ที่ประจักษ์แก่ตนเอง ทั้งผู้ที่จะบอกนั้นเล่า ก็เป็นถึง ท้าวแถน คำว่า แถน หมายถึงเทวดา น่าจะกินถึง พรหม ที่ยังเชื่อกันว่าเป็นผู้ลิขิตความเป็นไปของมนุษย์ ดังมีบัญญัติศัพท์ว่า พรหมลิขิต เพราะเชื่อว่าพรหมท่านลิขิตความเป็นไปของมนุษย์ จึงน่าจะทราบต้นทุนของมนุษย์ แต่พระพรหมหรือแถนในบัดนี้ท่านอยู่ทิศใดที่ใด ก็ไม่มีใครทราบ จะไปพบกับท่านได้อย่างไร ผู้บรรยายเองก็ยอมจำนน ขอบรรยายแต่นิยายให้ฟังดีกว่า จะเท็จจริงอย่างไร ก็แล้วแต่เรื่อง ดังต่อไปนี้.-

มีกระทาชายนายหนึ่ง เป็นคนขยัน ตั้งหน้าทำมาหากิน มีที่ดินในครอบครอง  มีวัวควายพอแก่งาน ทั้งมีบุตรภรรยาเป็นครอบครัว แต่แม้เขาจะตั้งหน้าทำมาหากินด้วยความขยันหมั่นเพียรเพียงไร ผลที่ได้ก็พอจะเลี้ยงดูกันไปเท่านั้น บางคราวถึงขาดแคลนด้วยซ้ำ ต้องหยิบยืมเพื่อนบ้านมาเจือจานครอบครัว ที่จะกระเตื้องเฟื่องฟูนั้นเป็นความหวังเท่านั้น ไม่ปรากฏเป็นความจริงขึ้นมาได้เลย ความหวังของเขานั้นยิ่งนานปีเข้าก็ชักเหลือน้อยลง ๆ เมื่อความหวังเหลือน้อย ความเบื่อก็เข้ามาแทนที่เท่านั้น ความหวังยิ่งน้อย ความเบื่อก็ยิ่งมาก ในที่สุดความเบื่อก็มีกำลังครอบครองหัวใจของเขา เขาเบื่อที่ดินซึ่งเพาะปลูกอะไรก็ไม่ค่อยงาม เบื่อวัวควายซึ่งเลี้ยงไม่ค่อยอ้วน เบื่อเมียซึ่งผ่านจากการนอนเพลิงมาหลายครั้งแล้ว     และทำงานด้วยปากมากกว่าด้วยมือ เบื่อลูกซึ่งไม่ค่อยอยู่ในโอวาท และไม่รู้จักคำว่า   ไม่มีความเบื่อทั้งนี้ได้น้อมความหวังเข้ามาใหม่เป็นความหวังภายหลังความเบื่อ คือหวังจะได้พ้นจากสิ่งที่เบื่อ ๆ ไปเสียที หาเอาใหม่ดีกว่าที่เบื่อแล้ว แต่ก็จนปัญญาไม่รู้จะไปหาทางไหน ต้องทนเอาจนกว่าจะเหลือทน และเขาก็เหลือทนจริง ๆ ความแห้งแล้งของไร่นา ความผอมโกโรโกโรคของวัวควาย ความ

รุงรังของบ้านเรือน ความไม่ชื่นตาชื่นใจของภรรยา ความไม่สบอารมณ์ของลูกเต้า ความเหล่านี้หลายความเข้ามาบีบคั้นถึงเหลือทน วันหนึ่งด้วยอารมณ์อันกลุ้มกลัดของเขา เขาออกเดินดุ่มไป บ่ายหน้าไปทางทิศตะวันตก เดินไป...เดินไป...เพื่อจะระบายความกลุ้ม ความกลัดกลุ้มไม่หาย ก็ไม่ยอมกลับหลัง คงเดินตะบึงไป เดินเรื่อยไปไม่เหลียวหลัง เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่เบื้องหลังนั้น เป็นจุดแห่งความกลัดกลุ้มแม้เพียงจะนึกถึงเท่านั้น ไม่ต้องถึงกับตาได้เห็นก็กลุ้มเสียแล้ว เขาหวาดหวั่นอย่างยิ่งที่จะหันมาดูข้างหลัง จึงตั้งหน้าไปท่าเดียว
จะกินเวลาสักเท่าไรไม่ทราบ ในเรื่องก็ไม่กล่าวไว้ ไม่สำคัญอะไร เอาเป็นว่า
“ในที่สุดเขาก็ได้เห็นปราสาทใหญ่โตมโหฬาร และงดงามวิจิตรอยู่ ณ เบื้องหน้า”
ดังนี้ก็แล้วกัน สาระสำคัญของนิยายอยู่ตรงนี้ หาได้อยู่ตรงที่ว่า
“เขาเดินไปนานเท่าไร”
ไม่ หรือจะอยู่ที่ว่า
“ทำไมเขาถึงไปพบปราสาทที่ว่านั้น”   ก็หามิได้อีก
เขาเดินเข้าไปในปราสาทอันสวยงามนั้น ไปถึงห้องหนึ่งสวยงามแพรวพราว มีบัลลังก์ทองแกมแก้วตั้งอยู่ บนบัลลังก์ก็มีท่านผู้หนึ่งซึ่งต้องสวยงามและมีสง่า มิฉะนั้นจะไม่เรียกว่า ท้าวแถน
ท้าวแถนเห็นเขามาถึงสำนักก็ทักทายปราศรัยตามทำเนียมของเจ้าสำนัก
“บุรุษผู้เจริญ เธอเป็นใคร ทำไมถึงดั้นด้นมาจนถึงนี่”
เขาเล่าให้ฟังถึงการมาของเขา   “เดินดุ่มมาเรื่อย ๆ ก็มาถึงนี่”
แล้วก็ถามบ้างว่า  “ท่านเป็นใคร ที่นี่เรียกว่าอะไร”
“เราเป็นแถน”   ที่นี่เป็นที่อยู่ของเรา
ท้าวแถนตอบ
เขาแสนจะดีใจ เพราะไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้มาพบท้าวแถนผู้ทรงมหิทธานุภาพ ก้มลงกราบแทบเท้า เล่าความเดือดร้อนให้ฟัง แล้วขอร้องให้กรุณาเขา ๒ ประการ คือ ช่วยให้ร่ำรวย และช่วยให้ได้ภรรยาที่น่าพอใจ

ท้าวแถนรับปากจะช่วยเขา ในเรื่องทรัพย์ต้องพิสูจน์ต้นทุนเสียก่อนว่า “มีเท่าไร” ท้าวแถนพาเขาไปยังห้องใหญ่อีกห้องหนึ่ง มีตราชูอันมหึมาตั้งอยู่กลางห้อง ท้าวแถนโกยเงินใส่ตราชูข้างหนึ่งเป็นจำนวนมากมายหมายหมื่นชั่งและยึดไว้ บอกให้เขาลงนั่งในตราชูข้างอีกข้างหนึ่ง ท้าวแถนปล่อยมือ ทางที่ใส่เงินหนักกว่าเป็นอันมากถ่วงลงมาติดพื้น และทางที่เขานั่ง ก็สูงโด่งขึ้นจดเพดาน ท้าวแถนต้องดำเนินการตวงออกเรื่อย ๆ ถ้าเป็นคนก็คงเหน็ดเหนื่อยหนักหนา แต่นี่เป็นท้าวแถนผู้พยายามจะให้

ความสุขความเจริญโดยยุติธรรม ท้าวเธอก็ไม่เหน็ดเหนื่อยคงตวงออกเรื่อย ๆ จนกว่าจะพอดี ปรากฏว่ามีเงินเหลือติดอยู่ในตราชูข้างนั้นเพียง ๑ ตำลึง คือ ๔ บาทเท่านั้นเอง
เขามองดูด้วยความละห้อย สังเวชตนเองที่เกิดมามีทุนเพียง ๑ ตำลึง ลงมาจากตราชูด้วยสีหน้าอันปราศจากความชื่นบาน
ท้าวแถนบอกแก่เขาว่า
“เชิญดูซิ ฉันกอบโกยให้เป็นก่ายกอง แต่ทุนของท่านก็มีเพียงเท่านี้เอง จะมีมากได้อย่างไรเล่า จงปลงใจลงเถิดว่า ทุนของเราเพียงเท่านี้ จะให้มีมากขึ้นมาได้อย่างไร จงพอใจเท่าที่มี ยินดีเท่าที่ได้ พยายามทำมาหากินไปด้วยความสุจริต อย่าคิดก่อกรรมทำเข็ญแก่ใคร ๆ ตั้งใจในการประหยัด ใช้จ่ายให้พอกับที่หาได้ สิ่งใดกินไม่อิ่มสิ่งนั้นอย่ากิน ประพฤติเช่นนี้ ก็คงเอาตัวรอด และมีความสุขได้”
ในเรื่องเมีย ท้าวแถนพาเขาไปอีกห้องหนึ่ง เป็นห้องใหญ่โต มีสายรุ้งสีต่าง ๆ มากมายสวยสดงดงามแพรวพราวไปทั้งห้อง ท้าวแถนบอกเขาว่า
“เลือกเอาซิ ชอบสายไหน สีไหน ให้เลือกเอาสายหนึ่งแล้วไปบอกฉัน”
ท้าวแถนกลับไป ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว เขาพยายามเลือกเฟ้นถึง ๗ วัน จึงได้สายรุ้งเส้นหนึ่งเป็นที่เหมาะใจอย่างยิ่ง สายอื่น ๆ สู้ไม่ได้ทั้งนั้น เขานำความไปทูลท้าวแถนทันใด
ท้าวแถนบอก
“ได้แล้วหรือ เป็นที่พอใจแน่แล้วหนา เอ้า ถือเอาไว้นะ หลับตาเสีย เดินรูดสายรุ้งนี้ไป อย่าลืมตานะ ถ้าลืมตาเสียก่อนสุดสายรุ้ง จะไม่ได้พบเนื้อคู่ เดินรูดเรื่อยไป จนสุดสาย ก็จะพบหญิงที่ถูกใจและพร้อมที่จะเป็นภรรยา”
เขาพอใจเป็นที่ยิ่ง กราบลาท้าวแถน หลับตา มือจับสายรุ้ง เดินรูดเรื่อยไป ใจนึกครึ้ม ปรารมภ์ไปเรื่อย ๆ
“คงพ้นยายแก่ละคราวนี้ คนนี้จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรหนา สวยงามประการใดหนา เอ สายรุ้งนี้ทำไมถึงยาวหนักหนา อยากพบเต็มทีแล้ว หญิงที่ถูกใจของเรา”

ความคิดคำนึงของเขาเป็นไปมาก ซึ่งเป็นความคิดคาดหน้าไว้ต่าง ๆ ตามวิสัยของผู้ที่หวังจะประสบความสำเร็จตามที่ปรารถนา เขาคิดเรื่อยเปื่อยไปตลอดถึงการที่จะพูดเล้าโลมให้นางยินยอมพร้อมใจ เป็นการเตรียมล่วงหน้า เผื่อเวลาพบจะไม่เสียเวลาคิด คิดไปนึกไป ร้อยสีร้อยอย่าง เดินเรื่อยไป รักษาคำบัญชาของท้าวแถนอย่างเคร่งครัด ไม่ยอมลืมตา เพราะกลัวจะไม่พบเนื้อคู่ เดินไปคิดไป ในที่สุดก็สุดสายรุ้ง สดุดคนพอดี เขาโอบกอดผู้ที่เป็นเนื้อคู่ อันปรากฏอยู่นั้นทันที ครั้นคลายความตื่นเต้นแล้วก็ลืมตาพินิจดู ที่ไหนได้ เขาอุทานด้วยความตกใจเป็นเสียงซึ่งไม่เป็นภาษามนุษย์ เพราะหญิงที่อยู่ปลายสายรุ้งซึ่งเขาเลือกเฟ้นอยู่ ๗ วันนั้น คือเมียของเขาที่เขาแสนเบื่อหน่ายนั่นเอง ดูเถอะเสียเวลา

ย้อนกลับ
      หน้าต่อไป
Free Web Hosting